ปรึกษาการตลาด จัดอีเว้นท์ กฎหมายธุรกิจ อีเวนต์ Marketing laws 3 บริษัทจัดงานอีเว้นท์, ข้อดีของการใช้บริการผู้จัดงานอีเว้นท์

บริษัทจัดงานอีเว้นท์ | การจัดงานอีเว้นท์เป็นกลยุทธ์ที่สำคัญในการสร้างความรู้สึกและการติดต่อกับลูกค้าและกลุ่มเป้าหมายของธุรกิจในยุคปัจจุบัน เมื่อการติดต่อผ่านช่องทางออนไลน์เป็นสิ่งที่สำคัญ การจัดงานอีเว้นท์ไม่เพียงแค่เสริมสร้างความรู้สึกต่อแบรนด์และสินค้า แต่ยังเป็นโอกาสที่ดีในการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าอย่างใกล้ชิดขึ้นด้วย เพื่อทำให้ธุรกิจเจริญเติบโตอย่างยั่งยืน นี่คือ 5 เหตุผลที่ Normthing ผู้เชียวชาญด้านจัดอีเว้นท์ จะนำเสนอว่าทำไมธุรกิจควรมีผู้จัดงานอีเว้นท์ในทีมของตน

บริษัทจัดงานอีเว้นท์ Normthing แนะนำ 5 เหตุผลว่าทำไม

1. การสร้างพื้นที่ในการเชื่อมโยงและสร้างความสัมพันธ์

การจัดงานอีเว้นท์เป็นโอกาสที่ยอดเยี่ยมในการสร้างพื้นที่สำหรับธุรกิจในการเชื่อมโยงกับลูกค้าและกลุ่มเป้าหมายของพวกเขาอย่างใกล้ชิดขึ้น ตัวอย่างเช่น การจัดงานแสดงสินค้าหรือเปิดตัวผลิตภัณฑ์ ซึ่งช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่เข้มแข็งกับลูกค้าที่มีอยู่และมีศักยภาพในการเพิ่มลูกค้าใหม่ด้วยการเชื่อมโยงกับกลุ่มเป้าหมายที่เหมาะสมในงานอีเว้นท์นั้นๆ (source: Eventbrite)

2. การเพิ่มยอดขายและรายได้

งานอีเว้นท์มักเป็นโอกาสที่ดีในการเพิ่มยอดขายและรายได้สำหรับธุรกิจ โดยเฉพาะในรูปแบบของการจัดงานพิเศษที่มีลักษณะเป็นการขายสินค้าหรือบริการที่เน้นการตลาด ซึ่งสามารถเพิ่มยอดขายได้โดยตรงหรือโดยการสร้างความตั้งใจให้กับลูกค้าในการซื้อสินค้าหรือบริการของธุรกิจ (source: Forbes)

3. การสร้างความน่าเชื่อถือและบรรลุวัตถุประสงค์

การมีผู้จัดงานอีเว้นท์ช่วยให้ธุรกิจสามารถสร้างความน่าเชื่อถือให้กับลูกค้าและความเชื่อมั่นในแบรนด์ของพวกเขา นอกจากนี้ยังช่วยให้ธุรกิจสามารถบรรลุวัตถุประสงค์อื่นๆ เช่น การสนับสนุนกิจกรรมทางสังคมหรือการเพิ่มความตั้งใจของพนักงาน (source: Entrepreneur)

4. การเพิ่มการเผยแพร่แบรนด์

การจัดงานอีเว้นท์เป็นโอกาสที่ดีในการเผยแพร่แบรนด์ของธุรกิจ ซึ่งช่วยเพิ่มความรู้สึกและความรู้สึกในการติดต่อกับแบรนด์นั้นๆ ในจิตใจของลูกค้า ซึ่งจะช่วยเพิ่มความทรงจำและการรับรู้ของแบรนด์ (source: HubSpot)

5. การเป็นที่จดจำในตลาด

การจัดงานอีเว้นท์ช่วยให้ธุรกิจมีชื่อเสียงและเป็นที่จดจำในตลาด นอกจากการสร้างความรู้สึกและความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า ยังช่วยให้ธุรกิจเป็นที่จดจำและเป็นที่จดจำในหัวใจและจิตใจของกลุ่มเป้าหมายของพวกเขาอย่างยั่งยืน (source: Bizzabo)

นอกจากนี้เรายังมี 5 เหตุผลอื่น ๆ ประกอบด้วย

1 ประหยัดเวลาและทรัพยากร:

การจัดงานอีเว้นท์เป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลาและทรัพยากรมากมาย เนื่องจากต้องมีการวางแผน การจัดการรายละเอียดต่างๆ และการสื่อสารกับผู้ร่วมงานและผู้เข้าร่วมงานตลอดทั้งกระบวนการ นอกจากนี้ยังมีการจัดหาสถานที่ การจัดหาอุปกรณ์ เครื่องมือ และบริการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับงานอีเว้นท์นั้นๆ ทั้งหมดนี้จะต้องใช้ทรัพยากรทั้งเงินและเวลาในการดำเนินการอย่างเหมาะสม

ผู้จัดงานอีเว้นท์สามารถช่วยประหยัดเวลาและทรัพยากรของธุรกิจได้โดยมอบหน้าที่การจัดการงานอีเว้นท์ให้กับบริษัทหรือบุคคลที่เชี่ยวชาญในด้านนี้ โดยไม่ต้องใช้ทรัพยากรภายในของธุรกิจเอง ยกตัวอย่างเช่น ธุรกิจเล็กที่ต้องการจัดงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ การจ้างบริการจัดงานอีเว้นท์จะช่วยประหยัดเวลาและทรัพยากรของธุรกิจได้มาก เพราะผู้จัดงานอีเว้นท์จะมีความชำนาญในการวางแผนและการดำเนินงานอีเว้นท์ทุกขั้นตอน ทำให้ธุรกิจไม่ต้องใช้เวลาและทรัพยากรในการศึกษาและดำเนินการเองซึ่งอาจทำให้เสียเวลาและเงินโดยไม่จำเป็น

2. ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์:

ผู้จัดงานอีเว้นท์มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ที่สำคัญในการจัดงานทุกประเภท ทั้งในด้านการวางแผน การจัดการภายในงาน และการติดต่อสื่อสารกับผู้ร่วมงานและลูกค้า พวกเขามีความเข้าใจทางวิศวกรรมของงานอีเว้นท์และสามารถจัดการกับปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ

หนึ่งในปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในการจัดงานอีเว้นท์คือปัญหาเกี่ยวกับการจัดการเวลา การติดต่อกับผู้ร่วมงานหลายฝ่าย และการปรับแต่งแผนการจัดงานเมื่อเกิดปัญหาหรือสถานการณ์ไม่คาดคิด เช่น การมีปัญหาในการจัดการเวลาการเดินทางของผู้ร่วมงาน การปรับตารางการแสดงสินค้าเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงของสถานที่ หรือปัญหาที่เกี่ยวข้องกับสภาพอากาศที่ไม่คาดคิด

ผู้จัดงานอีเว้นท์มีความสามารถในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยการใช้ประสบการณ์และความคิดสร้างสรรค์ในการหาทางแก้ไขโดยไม่ทำให้งานต้องรองรับและทุ่มเทเพิ่มเติมในการดำเนินการ การทำงานร่วมกันกับทีมและผู้ร่วมงานในการหาทางแก้ไขปัญหาย่อยนั้น เป็นสิ่งที่ผู้จัดงานอีเว้นท์ทำได้ดี เพื่อให้งานจัดงานอีเว้นท์เป็นไปตามแผนและประสบความสำเร็จอย่างเต็มที่

3. ความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม:

ผู้จัดงานอีเว้นท์มีความสามารถในการคิดริเริ่มและสร้างสรรค์งานอีเว้นท์ที่น่าสนใจและเป็นที่จดจำ โดยการนำเสนอแนวคิดและนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อทำให้งานอีเว้นท์มีความเป็นเอกลักษณ์และตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพ

ตัวอย่างเทรนด์ใหม่ๆ ในการจัดงานอีเว้นท์ได้แก่:

  • งานอีเว้นท์เสริมสร้างประสบการณ์ (Experience-Driven Events): การจัดงานอีเว้นท์ที่เน้นการสร้างประสบการณ์ที่ไม่ซ้ำซากและมีความท้าทาย เช่น งานแสดงศิลปะสื่อสารที่ใช้เทคโนโลยีเสมือนจริงหรือการใช้ประสบการณ์แบบอินเทอร์แอคทีฟท์ในงานแสดงสินค้า
  • การใช้เทคโนโลยีในงานอีเว้นท์ (Technology Integration): การนำเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาใช้ในการจัดงาน เช่น การใช้ระบบเสียงและแสงที่มีความสามารถพิเศษ เทคโนโลยีเสมือนจริง หรือการใช้แอปพลิเคชันในการเพิ่มประสิทธิภาพในการเชื่อมต่อและสื่อสารกับผู้เข้าร่วมงาน
  • การจัดงานอีเว้นท์เป็นมัลติเซ็นเตอร์ (Multi-Centered Events): การเลือกที่สถานที่จัดงานที่ไม่ตายตัวและเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมงานได้สัมผัสประสบการณ์ที่หลากหลายในหลายที่ ซึ่งช่วยสร้างความสนุกสนานและความท้าทายสำหรับผู้เข้าร่วมงาน

ผู้จัดงานอีเว้นท์สามารถนำเทรนด์เหล่านี้มาใช้ในงานอีเว้นท์ของธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อทำให้งานอีเว้นท์มีความพิเศษและเป็นที่จดจำในใจของผู้เข้าร่วมงานอย่างยั่งยืน

4. การวัดผลและติดตามผล:

ผู้จัดงานอีเว้นท์สามารถวัดผลและติดตามผลงานอีเว้นท์ได้อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อปรับปรุงและพัฒนางานในอนาคต นอกจากนี้ยังช่วยให้เข้าใจถึงความสำเร็จของงานอีเว้นท์แต่ละครั้งและให้ข้อมูลที่มีประโยชน์ในการวางแผนงานอีเว้นท์อื่นๆ ในอนาคต

ตัวอย่างเครื่องมือวัดผลและติดตามผลที่ผู้จัดงานอีเว้นท์สามารถใช้ได้แก่:

  • แบบสอบถามความพึงพอใจ (Satisfaction Surveys): การส่งแบบสอบถามถึงผู้เข้าร่วมงานเพื่อประเมินความพึงพอใจของพวกเขาต่องานอีเว้นท์ ซึ่งช่วยให้ผู้จัดงานทราบข้อดีและข้อเสียของงานและมีข้อมูลในการปรับปรุงงานในอนาคต
  • การวัดความสำเร็จตามเป้าหมาย (Key Performance Indicators – KPIs): การตั้งเป้าหมายและวัดผลเชิงคุณภาพและประสิทธิภาพของงานอีเว้นท์ เช่น อัตราการเข้าร่วมงาน อัตราการเข้าชมบูธ หรือยอดขายที่เกิดขึ้นระหว่างงาน
  • การวิเคราะห์ข้อมูลจากสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media Analytics): การตรวจสอบและวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับการพูดคุยและความสนใจของผู้เข้าร่วมงานในโซเชียลมีเดีย เช่น จำนวนโพสต์ เมนชัน การแชร์ และความสนใจ ซึ่งช่วยให้ผู้จัดงานทราบถึงภาพรวมและความสำเร็จของงาน

ผู้จัดงานอีเว้นท์สามารถนำข้อมูลเหล่านี้มาวิเคราะห์และพัฒนาได้ โดยการใช้ข้อมูลในการปรับปรุงแผนการจัดงานในอนาคต นอกจากนี้ยังช่วยให้เข้าใจความต้องการและพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมายของงานอีเว้นท์ในอนาคต ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการพัฒนาสินค้าหรือบริการของธุรกิจในอนาคตด้วย

5. ความคุ้มค่า:

การจ้างผู้จัดงานอีเว้นท์เป็นการลงทุนที่คุ้มค่ากับเงินที่จ่าย เนื่องจากผู้จัดงานมีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในการจัดการงานอีเว้นท์ที่สามารถช่วยให้งานดำเนินไปได้อย่างราบรื่นและประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่กำหนดไว้

เมื่อเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายของการจัดงานอีเว้นท์ด้วยตัวเองกับการจ้างผู้จัดงาน จะพบว่าการจ้างผู้จัดงานอีเว้นท์มีประโยชน์มากกว่า โดยสามารถประหยัดเวลาและทรัพยากรของธุรกิจได้ เพราะไม่ต้องใช้เวลาในการวางแผนและดำเนินการงานเอง ทั้งยังลดความเสี่ยงในการเกิดปัญหาหรือข้อผิดพลาดขณะการจัดงาน

ตัวอย่างผลลัพธ์ที่วัดได้จากการจัดงานอีเว้นท์รวมถึง:

  • การเพิ่มยอดขายและกำไร: การจัดงานอีเว้นท์ที่ประสบความสำเร็จสามารถช่วยเพิ่มยอดขายและกำไรให้กับธุรกิจได้โดยตรง โดยเฉพาะในกรณีของงานโปรโมทสินค้าหรือบริการใหม่ ที่ผู้จัดงานสามารถสร้างประสบการณ์ที่น่าจดจำและชวนลูกค้ามาสนใจสินค้าหรือบริการของธุรกิจ
  • การสร้างความสัมพันธ์และภูมิลำเนา: งานอีเว้นท์เป็นโอกาสที่ดีในการสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแรงกับลูกค้าและพันธมิตรธุรกิจ ซึ่งอาจนำไปสู่การเพิ่มภูมิลำเนาและการมีส่วนร่วมทางธุรกิจในอนาคต
  • การเสริมสร้างแบรนด์: งานอีเว้นท์เป็นโอกาสที่ดีในการเสริมสร้างแบรนด์ของธุรกิจ โดยผ่านกิจกรรมต่างๆ ที่สร้างความทรงจำและความสัมพันธ์กับลูกค้า ซึ่งจะช่วยเพิ่มความรู้สึกและความเชื่อมั่นในแบรนด์ของธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ

ดังนั้นการจ้างผู้จัดงานอีเว้นท์เป็นการลงทุนที่มีความคุ้มค่าและสามารถนำไปสู่ผลลัพธ์ที่มีประโยชน์อย่างมากในทางการตลาดและธุรกิจในระยะยาว

สรุป

การมีผู้จัดงานอีเว้นท์เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับธุรกิจทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจขนาดใหญ่หรือเล็ก เพราะมันช่วยเพิ่มโอกาสในการเชื่อมโยงกับลูกค้า การเพิ่มยอดขาย การสร้างความน่าเชื่อถือและเผยแพร่แบรนด์ และการเป็นที่จดจำในตลาดอย่างมีประสิทธิภาพอย่างมาก!