เศรษฐศาสตร์ยุคประธานาธิบดีทรัมป์

TRUMP TARIFF effect Thailand

ทำไมนักเศรษฐศาสตร์ถึงไม่ชอบแผนภาษีศุลกากรของทรัมป์? ในช่วงการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของโดนัลด์ ทรัมป์ การเสนอใช้ภาษีศุลกากรเป็นหนึ่งในนโยบายทางเศรษฐกิจที่ได้รับการพูดถึงเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตามแผนนี้ได้รับการวิจารณ์อย่างหนักจากนักเศรษฐศาสตร์เพราะ

เพิ่มต้นทุนสำหรับผู้บริโภค

ภาษีศุลกากรมักจะถูกถ่ายโอนไปยังผู้บริโภคในรูปของราคาสินค้าที่สูงขึ้น นักเศรษฐศาสตร์ชี้ว่าการเพิ่มภาษีศุลกากรของทรัมป์จะทำให้สินค้านำเข้าจากประเทศต่างๆ มีราคาสูงขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชน สรุปคือท้ายที่สุดประชากรของ US ก็ต้องซื้อของแพงขึ้น

ตอบโต้จากประเทศคู่ค้า

การใช้ภาษีศุลกากรสูงอาจนำไปสู่การตอบโต้จากประเทศคู่ค้า ส่งผลให้เกิดสงครามการค้าซึ่งจะส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจโลกรวมถึงเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาเอง

ความไม่มีประสิทธิภาพ

การใช้ภาษีศุลกากรเป็นวิธีการที่ไม่มีประสิทธิภาพในการปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ เพราะมันอาจสร้างความเสียหายมากกว่าผลประโยชน์ โดยเฉพาะในระยะยาว

ตัวอย่าง สงครามไก่

‘สงครามไก่’ เป็นตัวอย่างที่น่าสนใจของผลกระทบจากภาษีศุลกากร ในปี 1962 สหรัฐอเมริกาได้ตั้งภาษีศุลกากร 25% ต่อการนำเข้าเนื้อไก่จากยุโรปเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมไก่ในประเทศ ยุโรปตอบโต้ด้วยการเก็บภาษีศุลกากรสูงต่อสินค้าสหรัฐอเมริกาเช่นกัน รวมถึงรถยนต์จากอเมริกา ส่งผลให้ภาษีศุลกากรเหล่านี้ยังไม่ได้ถูกยกเลิกจนถึงปัจจุบัน แม้จะผ่านไปหลายทศวรรษ นี่แสดงให้เห็นว่าภาษีศุลกากรที่เริ่มต้นเป็นเพียงมาตรการชั่วคราวอาจกลายเป็นปัญหาระยะยาวได้

ภาษีศุลกากรทำงานอย่างไร?

ภาษีศุลกากรคือภาษีที่เก็บจากสินค้านำเข้า การทำงานของภาษีศุลกากรมีดังนี้

การเก็บภาษี

เมื่อสินค้านำเข้ามายังประเทศหนึ่งๆ, ผู้นำเข้าจะต้องจ่ายภาษีศุลกากรตามอัตราที่กำหนด ซึ่งมักคำนวณจากมูลค่าของสินค้า

ผลกระทบต่อราคา

ภาษีศุลกากรจะทำให้ต้นทุนการนำเข้าสินค้าเพิ่มขึ้น ผู้นำเข้าส่วนใหญ่จะถ่ายโอนต้นทุนนี้ไปยังผู้บริโภคโดยการขึ้นราคาสินค้า

ป้องกันอุตสาหกรรมในประเทศ

ภาษีศุลกากรสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการป้องกันอุตสาหกรรมภายในประเทศจากการแข่งขันจากสินค้านำเข้าราคาถูก อย่างไรก็ตาม มันก็มีข้อเสียคืออาจทำให้สินค้าในประเทศไม่มีแรงจูงใจในการพัฒนาคุณภาพหรือลดต้นทุน

รายได้รัฐบาล

ภาษีศุลกากรยังเป็นแหล่งรายได้สำคัญของรัฐบาล แต่การพึ่งพารายได้จากภาษีศุลกากรมากเกินไปอาจนำไปสู่นโยบายที่ไม่ยั่งยืนในระยะยาว

นักเศรษฐศาสตร์จำนวนมากจึงไม่เห็นด้วยกับการใช้ภาษีศุลกากรในรูปแบบที่ทรัมป์เสนอ เพราะมันสามารถสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจมากกว่าผลประโยชน์ที่จะได้รับ

ภาษีศุลกากรเป็นการสร้างงานได้อย่างไร?

ภาษีศุลกากรมีการโต้เถียงในเรื่องของการสร้างงาน

การปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ

ภาษีศุลกากรที่เก็บจากสินค้านำเข้าสามารถทำให้สินค้าจากต่างประเทศมีราคาสูงขึ้น ซึ่งช่วยให้ผลิตภัณฑ์ภายในประเทศมีความสามารถในการแข่งขันมากขึ้น นี่อาจนำไปสู่การขยายกิจการและการจ้างงานเพิ่มขึ้นในอุตสาหกรรมที่ได้รับการปกป้อง

ความซับซ้อนของเศรษฐกิจ

อย่างไรก็ตาม การสร้างงานจากภาษีศุลกากรไม่ได้เกิดขึ้นเสมอไป เพราะมันอาจเพิ่มต้นทุนให้กับบริษัทที่ใช้วัตถุดิบนำเข้า ทำให้สินค้าส่งออกมีราคาสูงขึ้น และเป็นการเพิ่มต้นทุนการผลิตในภาพรวม ผลลัพธ์อาจเป็นการสูญเสียงานในภาคอื่นๆ ของเศรษฐกิจ

ทำไมภาษีศุลกากรจึงยากที่จะยกเลิก

การเมืองและความสนใจของกลุ่มอุตสาหกรรม

อุตสาหกรรมที่ได้รับการปกป้องจากภาษีศุลกากรมีแรงจูงใจทางการเมืองในการรักษาภาษีเหล่านี้ไว้ เพราะการยกเลิกอาจส่งผลให้พวกเขาเสียเปรียบในการแข่งขัน

ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ

การยกเลิกภาษีศุลกากรอาจทำให้เกิดความไม่แน่นอนและการปรับตัวของตลาดในระยะสั้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการจ้างงานและการผลิต

ตอบโต้จากประเทศคู่ค้า

หากภาษีศุลกากรถูกยกเลิกข้างเดียว, ประเทศคู่ค้าอาจไม่ยอมยกเลิกภาษีตอบโต้ของพวกเขา ทำให้การค้ากลับสู่สภาพเดิมเป็นเรื่องยาก

ข้อเสนอของทรัมป์เกี่ยวกับภาษีศุลกากร

ข้อเสนอภาษีศุลกากรของทรัมป์

ภาษีศุลกากรสูง ในช่วงการดำรงตำแหน่งและแม้กระทั่งในแผนการเมื่อเข้าสู่สมัยที่สอง, ทรัมป์เสนอการเก็บภาษีศุลกากรสูงต่อสินค้านำเข้าจากจีน เม็กซิโก และแคนาดา รวมถึงภาษีศุลกากรสากล 10-20% ต่อสินค้านำเข้าทั้งหมด

เป้าหมายการสร้างงาน ทรัมป์มองว่าภาษีศุลกากรจะช่วยสร้างงานในอุตสาหกรรมการผลิตของสหรัฐ โดยเฉพาะในภาคการผลิตที่ได้รับผลกระทบจากการนำเข้าสินค้าราคาถูก

การตอบโต้และผลกระทบ ข้อเสนอเหล่านี้ได้รับการวิจารณ์ว่าอาจนำไปสู่สงครามการค้า, เพิ่มค่าครองชีพ, และสร้างความไม่แน่นอนให้กับเศรษฐกิจโลก เนื่องจากประเทศคู่ค้าอาจตอบโต้ด้วยภาษีศุลกากรของตนเอง

การจำกัดการนำเข้า นอกจากนี้ ทรัมป์ยังเสนอการใช้ภาษีศุลกากรเพื่อจำกัดการนำเข้าสินค้าบางประเภท โดยเฉพาะจากจีน เพื่อลดการขาดดุลการค้าและปกป้องเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมสำคัญของสหรัฐ

อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์จริงจากการใช้ภาษีศุลกากรตามแผนของทรัมป์มีการถกเถียงกันอย่างมากในหมู่นักเศรษฐศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญด้านการค้า เนื่องจากมีหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าภาษีศุลกากรอาจทำให้เกิดการสูญเสียงานมากกว่าการสร้างงานในระยะยาว

ผลกระทบต่อประเทศไทยกับนโยบาภาษีศุลกากร

การพิจารณาผลกระทบของนโยบายภาษีศุลกากรของโดนัลด์ ทรัมป์ต่อประเทศไทย, ต้องดูจากหลายปัจจัยรวมถึงข้อมูลจากการศึกษาและการวิเคราะห์ที่เกี่ยวข้อง:

ผลกระทบที่เป็นไปได้ต่อประเทศไทย

  1. การส่งออกไปสหรัฐฯ:
    • ลดลง: หากทรัมป์เก็บภาษีศุลกากรสูงต่อสินค้านำเข้าจากไทย สินค้าส่งออกไทยจะมีราคาสูงขึ้นในตลาดสหรัฐฯ ซึ่งอาจส่งผลให้ความต้องการลดลงและส่งผลเสียต่อการส่งออกของไทย
  2. การนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ
    • เพิ่มขึ้น: ถ้าสหรัฐฯ ลดการนำเข้าจากประเทศอื่นๆ เพื่อปกป้องตลาดในประเทศ สินค้าจากสหรัฐฯ อาจมีราคาที่แข่งขันได้ดีขึ้นในไทยเนื่องจากการลดต้นทุนการแข่งขันจากสินค้าประเทศอื่น
  3. การเปลี่ยนเส้นทางการค้า
    • การทะลักของสินค้าจีน: มีความกังวลว่าสินค้าจีนที่ไม่สามารถส่งไปสหรัฐฯ ได้อาจเบนเข็มมายังประเทศไทย ทำให้ไทยต้องรับมือกับสินค้านำเข้าจากจีนเพิ่มขึ้นซึ่งอาจสร้างความไม่สมดุลทางการค้า
  4. ผลกระทบทางเศรษฐกิจโลก
    • สงครามการค้า: นโยบายภาษีศุลกากรที่เข้มงวดของทรัมป์อาจนำไปสู่สงครามการค้าที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกในวงกว้าง ทำให้การส่งออกของไทยลดลงจากความต้องการที่ลดลงในตลาดโลก
  5. การปรับตัวของธุรกิจ
    • โอกาสในการลงทุน: บริษัทสหรัฐฯ อาจมองหาฐานการผลิตในประเทศอื่นๆ เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีศุลกากร, ซึ่งไทยอาจได้รับการลงทุนเพิ่มขึ้น แต่ก็มีความเสี่ยงเรื่องมลภาวะและการแข่งขันที่สูงขึ้น
  6. เงินเฟ้อและค่าครองชีพ
    • เพิ่มขึ้น: หากสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ หรือสินค้าที่เกี่ยวข้องมีราคาสูงขึ้นจากภาษีศุลกากร, อาจทำให้ค่าครองชีพในไทยเพิ่มขึ้น

สรุป

นโยบายภาษีศุลกากรของทรัมป์มีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบต่อประเทศไทยทั้งในแง่บวกและลบ ขึ้นอยู่กับวิธีการที่ไทยจัดการปรับตัวและการเจรจาทางการค้าในระดับนานาชาติ อย่างไรก็ตาม, การวิเคราะห์เหล่านี้เป็นการวิเคราะห์เชิงทฤษฎีและต้องขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นจริง รัฐบาลไทยและภาคธุรกิจควรเตรียมความพร้อมสำหรับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้หลายรูปแบบ