คาร์บอนฟุตพรินต์ (Carbon Footprint) เป็นตัวชี้วัดปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ถูกปล่อยออกมาจากกิจกรรมต่างๆ ของธุรกิจ ซึ่งก๊าซเหล่านี้เป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การคำนวณคาร์บอนฟุตพรินต์ของธุรกิจจึงเป็นขั้นตอนสำคัญในการประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและหาแนวทางลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างเป็นระบบ Normthing จะแนะนำวิธีการคำนวณคาร์บอนฟุตพรินต์สำหรับธุรกิจอย่างง่ายๆ ใน 5 ขั้นตอนหลัก
- ที่ปรึกษา ESG – ESG Consulting firm
- สื่อสาร ESG หรือ SDGs ของบริษัท ด้วยการจัดอีเวนต์
- 7 แนวปฏิบัติที่ดีที่สุดในการสื่อสาร ESG ในการรีวิว
0. การวิเคราะห์ Value Chain ขององค์กร (Analyze the Organization’s Value Chain)
ก่อนเริ่มต้นเก็บข้อมูล บริษัทควรกางแผน Value Chain ขององค์กรทั้งหมด ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ เพื่อทำความเข้าใจกิจกรรมและกระบวนการทั้งหมดที่เกิดขึ้นในธุรกิจ รวมถึงตรวจสอบซัพพลายเออร์ที่เกี่ยวข้องว่ามีกิจกรรมอะไรบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้พลังงานและทรัพยากรที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งจะช่วยให้สามารถระบุแหล่งที่มาของข้อมูลที่ต้องการได้อย่างแม่นยำ
ขั้นตอนสำคัญในการวิเคราะห์ Value Chain:
- การวิเคราะห์ต้นน้ำ: รวมถึงการผลิตและจัดหาวัตถุดิบ เช่น การจัดซื้อวัตถุดิบจากซัพพลายเออร์หรือการขนส่งวัตถุดิบสู่โรงงาน
- การวิเคราะห์กระบวนการภายใน: เช่น การผลิต การบรรจุสินค้า การใช้พลังงานในโรงงานและสำนักงาน
- การวิเคราะห์ปลายน้ำ: เช่น การขนส่งสินค้าสู่ลูกค้า การใช้งานของผู้บริโภค และการจัดการขยะหรือบรรจุภัณฑ์หลังการใช้งาน
ประโยชน์ของการทำขั้นตอนนี้:
- ช่วยให้เห็นภาพรวมของการปล่อยก๊าซจากทุกขั้นตอนใน Value Chain
- ระบุจุดที่มีผลกระทบสูงและต้องการการปรับปรุง
- เตรียมความพร้อมสำหรับการเก็บข้อมูลและการวิเคราะห์ในขั้นตอนถัดไป
1. การเก็บรวบรวมข้อมูล (Data Collection)
หลังจากได้แผน Value Chain แล้ว จึงเริ่มเก็บข้อมูลการใช้พลังงาน วัตถุดิบ และกิจกรรมต่างๆ ที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ข้อมูลที่ต้องเก็บรวบรวมแบ่งเป็น 3 หมวดหมู่ใหญ่ๆ คือ:
- พลังงานที่ใช้ในธุรกิจ (Scope 1 และ 2): เช่น ไฟฟ้าที่ใช้ในสำนักงานหรือโรงงาน การใช้เชื้อเพลิงในยานพาหนะ
- การเดินทางและการขนส่ง (Scope 3): เช่น การเดินทางของพนักงานหรือการขนส่งสินค้า
- การใช้วัตถุดิบหรือสินค้าบริการอื่นๆ: เช่น การใช้กระดาษ พลาสติก หรืออุปกรณ์ต่างๆ ในกระบวนการผลิต
เคล็ดลับการเก็บข้อมูล:
- บันทึกค่าไฟฟ้า น้ำมัน และการใช้พลังงานจากบิลต่างๆ
- จดบันทึกการเดินทาง เช่น จำนวนกิโลเมตรที่ใช้ในยานพาหนะ
- สอบถามซัพพลายเออร์ถึงปริมาณการใช้ทรัพยากรและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการผลิตวัตถุดิบ
2. การเลือกค่าแปลงการปล่อยก๊าซ (Choosing Emission Factors)
Emission Factors คือค่าที่ใช้แปลงปริมาณการใช้พลังงานหรือทรัพยากรเป็นปริมาณก๊าซเรือนกระจก เช่น
- ไฟฟ้า: Emission Factor อยู่ที่ประมาณ 0.5 กิโลกรัม CO2 ต่อ kWh (ขึ้นอยู่กับประเทศและแหล่งพลังงานที่ใช้)
- น้ำมันดีเซล: ประมาณ 2.68 กิโลกรัม CO2 ต่อ ลิตร
- การบิน: ประมาณ 0.115 กิโลกรัม CO2 ต่อ กิโลเมตร (ขึ้นอยู่กับประเภทเครื่องบินและเส้นทางบิน)
แหล่งข้อมูลการเลือก Emission Factors:
- เอกสารจากหน่วยงานสิ่งแวดล้อมของแต่ละประเทศ
- ฐานข้อมูลจากองค์กรระหว่างประเทศ เช่น IPCC หรือ DEFRA
- ซัพพลายเออร์สินค้าที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการปล่อยก๊าซของผลิตภัณฑ์
3. การคำนวณปริมาณการปล่อยก๊าซ (Calculating Carbon Emissions)
เมื่อได้ข้อมูลการใช้พลังงานและ Emission Factors มาแล้ว สามารถคำนวณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ด้วยสูตรง่ายๆ
การปล่อยก๊าซ=ปริมาณการใช้×Emission Factor
ตัวอย่างการคำนวณ:
- ใช้ไฟฟ้า 1,000 kWh โดยมี Emission Factor 0.5 kg CO2/kWh:
1,000×0.5=500 kg CO2
- การขนส่งสินค้าระยะทาง 200 กิโลเมตรด้วยรถยนต์ที่มี Emission Factor 0.2 kg CO2/km:
200×0.2=40 kg CO2
รวมค่าการปล่อยก๊าซจากกิจกรรมทั้งหมดเพื่อให้ได้คาร์บอนฟุตพรินต์รวมของธุรกิจ
4. การประเมินและการรายงาน (Assessment and Reporting)
การสรุปผลคาร์บอนฟุตพรินต์ที่ได้จากการคำนวณและจัดทำรายงานเพื่อใช้ในการวางแผนการลดการปล่อยก๊าซและการสื่อสารกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เช่น ลูกค้า นักลงทุน และสังคมภายนอก
แนวทางในการนำผลลัพธ์ไปใช้:
- ปรับปรุงกระบวนการ: ใช้พลังงานจากแหล่งที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่น พลังงานแสงอาทิตย์
- ลดการใช้พลังงาน: ปรับเปลี่ยนอุปกรณ์เป็นแบบประหยัดพลังงาน
- ชดเชยคาร์บอน (Carbon Offset): ลงทุนในโครงการปลูกป่าหรือพลังงานทดแทนเพื่อชดเชยปริมาณการปล่อยก๊าซ
บทสรุป
การคำนวณคาร์บอนฟุตพรินต์ของธุรกิจเริ่มต้นจากการทำความเข้าใจ Value Chain และทำตามขั้นตอนที่กำหนด ช่วยให้ธุรกิจสามารถมองเห็นภาพรวมของผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และวางแผนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งเป็นก้าวสำคัญสู่การดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนและรับผิดชอบต่อสังคมในระยะยาว