กลยุทธ์การตลาด สำหรับทุกธุรกิจในปี 2025

กลยุทธ์การตลาด 2025

กลยุทธ์การตลาด 2025 | ในทุกวันนี้การตลาดมีความเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างมาก แต่การตลาดนั้นเป็นเพียงการเชื้อเชิญให้กลุ่มที่น่าจะเป็นลูกค้ารู้จักเราเท่านั้น ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่ยังต้องวิเคราะห์กันต่อไปเพื่อให้กลุ่มที่น่าจะเป็นลูกค้า กลายมาเป็นลูกค้า

แต่อย่างไรก็ดี หากลูกค้ายังไม่เริ่มต้นรู้จักเราเลย เขาจะมาเป็นลูกค้าเราได้อย่างไร ใช่ไหมล่ะครับ วันนี้ผมหยิบเอากลยุทธ์ กลวิธีในการเข้าสู่ตลาดของทุกธุรกิจที่ใช้ได้ในปัจจุบันมาแนะนำให้ทุกคนได้นำไปปรับใช้ในปี 2025 กันครับ

ก่อนเริ่มต้น Step-0

การเริ่มต้นในเรื่องกลยุทธ์การตลาดได้ สิ่งแรกที่เราต้องรู้ก่อนคือ “ลูกค้าเราคือใคร” หากแต่ละท่านยังหากลุ่มลูกค้าของตนเองไม่เจอ ผมจะมีการทำบทความในการค้นหาลูกค้าตนเองให้เจออีกบทความหนึ่ง แต่กล่าวโดยสรุปก็คือ เราต้องเลือก Segmentation ของตนเองให้ถูกต้อง จากนั้นเลือกกลุ่มตลาดหัวหาด (Beachhead market) ลองถอดออกมาเป็น Persona วิเคราะห์ Journey ของพวกเขาเหล่านั้น และหาจุด Touch point ของลูกค้ากับคุณให้เจอ และเมื่อนั้นแหละกลยุทธ์ถึงมีความสำคัญและส่งผลได้ดี

กลยุทธ์การตลาด 2025

การตลาดยุค 2025 ในบริบทของประเทศไทยนั้นยังมีความแตกต่างจาก เดิมไปไม่มากนัก ด้วยเหตุผลว่าประเทศไทยเป็นประเทศผู้รับเทคโนโลยีไม่ใช่ประเทศผู้สร้าง นั่นหมายความว่าวงการการตลาดของไทยนั้นตามหลังประเทศผู้สร้างเทคโนโลยีอยู่ประมาณ 5 ปี นั่นทำให้เราสามารถเทียบเคียงถึงแนวโน้มอนาคต และการปรับตัวในปัจจุบันได้อย่างดีเลยล่ะครับ ส่วนกลยุทธ์ที่ทำได้ในปี 2025 ดังนี้ครับ

1. SEO (Search Engine Optimization)

SEO (Search Engine Optimization) ยังคงเป็นกลยุทธ์สำคัญทางการตลาดในปี 2025 เพราะการค้นหาผ่าน Search Engines ยังเป็นช่องทางหลักที่ผู้บริโภคใช้ในการค้นหาสินค้าและบริการ อย่างไรก็ตาม การพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ และพฤติกรรมของผู้ใช้งานที่เปลี่ยนไป ทำให้ SEO ต้องปรับตัวเพื่อให้ได้ผลที่ดีในสภาพแวดล้อมดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว โดย SEO ในปัจจุบันมีการโฟกัสที่เนื้อหาที่มีคุณภาพมากขึ้นเพราะการเข้ามาของ AI ให้ใคร ๆ ก็สามารถทำ Content ได้ อย่างไรก็ดีถ้า Content เรามีเอกลักษณ์และแสดงถึงความเชี่ยวชาญ ก็สามารถชนะใคร ๆ ในตลาดได้

Local SEO

เน้นความสำคัญของประสบการณ์ผู้ใช้ (UX)

เน้นความสำคัญของประสบการณ์ผู้ใช้ (UX) Google และ search engines อื่น ๆ เริ่มให้ความสำคัญกับประสบการณ์ของผู้ใช้มากขึ้น การมีเว็บไซต์ที่โหลดเร็ว, มีการออกแบบที่เป็นมิตรกับมือถือ (mobile-friendly) และการให้เนื้อหาที่มีคุณภาพจึงเป็นปัจจัยที่สำคัญในการจัดอันดับ นอกจากนี้ Google Core Web Vitals ก็กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ควรใส่ใจในการพัฒนาเว็บไซต์

การค้นหาด้วยเสียง (Voice Search) ผู้คนใช้อุปกรณ์สมาร์ทโฟนและผู้ช่วยอัจฉริยะ (voice assistants) มากขึ้น การค้นหาด้วยเสียงจึงมีบทบาทที่สำคัญขึ้น SEO สำหรับ voice search ต้องมุ่งเน้นการใช้ภาษาที่เป็นธรรมชาติและการใช้คีย์เวิร์ดในรูปแบบของคำถาม เช่น “จะทำอาหารเย็นอะไรดี” แทนที่จะเป็นเพียงคำว่า “สูตรอาหารเย็น”

การค้นหาด้วยภาพ (Visual Search) เทคโนโลยีการค้นหาภาพ เช่น Google Lens เริ่มเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวัน SEO สำหรับภาพจึงต้องเน้นการให้ข้อมูลที่ครบถ้วนกับรูปภาพ เช่น การใช้ alt text ที่ถูกต้องและชัดเจน รวมถึงการให้ชื่อไฟล์ที่สะท้อนถึงเนื้อหาของภาพ

การเพิ่มบทบาทของ AI

การเพิ่มบทบาทของ AI ในการค้นหา AI ถูกนำมาใช้มากขึ้นใน search engine algorithms เช่น Google’s BERT และ MUM ที่เข้าใจความหมายของเนื้อหามากขึ้นกว่าเดิม SEO ในปี 2025 จึงไม่ใช่แค่การใส่คีย์เวิร์ดเท่านั้น แต่ต้องคำนึงถึงความหมายและการจัดวางเนื้อหาเพื่อให้ AI เข้าใจได้อย่างถูกต้อง

MUM SEO MARKETING

เนื้อหาที่ลึกและเฉพาะเจาะจง (Niche Content)

เนื้อหาที่ลึกและเฉพาะเจาะจง (Niche Content) ในปี 2025 เนื้อหาที่ครอบคลุมและเฉพาะเจาะจงจะมีความสำคัญมากขึ้น การสร้างเนื้อหาที่ตอบโจทย์ผู้ใช้แบบตรงจุดและมีความลึกในหัวข้อนั้น ๆ จะช่วยให้เว็บไซต์ได้รับความนิยมมากขึ้น เพราะผู้ใช้ต้องการข้อมูลที่สามารถตอบคำถามของพวกเขาได้อย่างครบถ้วน

การใช้ข้อมูลเชิงโครงสร้าง (Structured Data)

การใช้ข้อมูลเชิงโครงสร้าง (Structured Data) การใช้ structured data หรือ schema markup จะช่วยให้ search engines เข้าใจเนื้อหาในเว็บไซต์ได้ดีขึ้นและแสดงผลได้ในรูปแบบ rich snippets ซึ่งจะเพิ่มโอกาสให้เว็บไซต์ของคุณปรากฏอยู่ในอันดับสูงขึ้น

SEO ยังคงเป็นกลยุทธ์สำคัญ แต่ในปี 2025 ต้องมีการปรับตัวให้เข้ากับเทคโนโลยีและพฤติกรรมการค้นหาที่เปลี่ยนแปลงไปเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี

ผลวิจัย

งานวิจัย The Role of Search Engine Optimization in Search Marketing สำรวจบทบาทของ SEO (Search Engine Optimization) ในการตลาดผ่านเครื่องมือค้นหา โดยเน้นว่า SEO สามารถส่งผลต่อการตัดสินใจของผู้บริโภคได้จากนโยบายของเครื่องมือค้นหาและกลยุทธ์ของเจ้าของเว็บไซต์ เจ้าของเว็บไซต์สามารถเลือกลงทุนใน SEO เพื่อเพิ่มอันดับในผลการค้นหาแบบออร์แกนิก หรือใช้การโฆษณาแบบ sponsored links ที่ต้องเสียค่าใช้จ่าย

ประเด็นสำคัญของการวิจัย

คำแนะนำสำหรับผู้โฆษณา

การทำ SEO เป็นเครื่องมือสำคัญในการเพิ่มการมองเห็นสำหรับเว็บไซต์ของผู้โฆษณาที่มีงบประมาณมาก ผู้โฆษณาส่วนใหญ่มักจะใช้ทั้ง SEO และโฆษณาแบบ sponsored links แต่ต้องเผชิญกับการตัดสินใจว่าจะกระจายงบประมาณอย่างไรให้เหมาะสม ผลวิจัยชี้ให้เห็นว่าเว็บไซต์คุณภาพสูงจะได้เปรียบ เพราะหากการจัดอันดับในผลการค้นหาแบบออร์แกนิกไม่ดี พวกเขาสามารถใช้โฆษณาแบบ sponsored links เป็นทางเลือกเสริม

ผลต่อผู้บริโภค

SEO ช่วยให้ผู้บริโภคได้รับประสบการณ์ที่ดีขึ้น โดย SEO สามารถทำให้เว็บไซต์ที่มีคุณภาพสูงได้เปรียบในผลการค้นหา โดยเฉพาะเมื่ออัลกอริทึมของเครื่องมือค้นหาไม่ได้จัดอันดับได้อย่างแม่นยำ แม้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้ แต่ SEO ที่ประสบความสำเร็จอาจทำให้รายได้ของเครื่องมือค้นหาลดลง เนื่องจากผู้ใช้เลือกคลิกเว็บไซต์ที่ปรากฏในผลการค้นหาธรรมชาติ แทนที่จะคลิกโฆษณาที่มีค่าใช้จ่าย

2. Local SEO

Local SEO จะยังคงมีบทบาทสำคัญอย่างมากในปี 2025 โดยเฉพาะสำหรับธุรกิจที่มีสถานที่ตั้งทางกายภาพหรือให้บริการลูกค้าในพื้นที่เฉพาะ เนื่องจากการค้นหาที่มีเนื้อหาเฉพาะพื้นที่ (local search) ยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และเทคโนโลยีการค้นหาก็มีความสามารถในการระบุสถานที่ที่แม่นยำมากขึ้น ดังนั้นการทำ Local SEO จึงต้องปรับตัวตามแนวโน้มใหม่ ๆ เช่นกัน

Local SEO

ปัจจัยสำคัญของ Local SEO ในปี 2025

Google Business Profile (เดิมคือ Google My Business) การมีโปรไฟล์ธุรกิจที่สมบูรณ์และอัปเดตบน Google Business Profile จะยังคงเป็นหัวใจหลักของ Local SEO การอัปเดตข้อมูลที่ถูกต้อง เช่น ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ เวลาเปิด-ปิด และบริการที่คุณนำเสนอ จะช่วยให้ธุรกิจของคุณปรากฏในผลการค้นหา local ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ การรีวิวจากลูกค้าก็ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจ

การค้นหาผ่านมือถือ (Mobile Search) การค้นหาในพื้นที่ส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากอุปกรณ์พกพา (มือถือ) ดังนั้นเว็บไซต์ของคุณต้องมีการออกแบบที่เหมาะสมกับมือถือและโหลดได้รวดเร็ว เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ง่าย ๆ รวมถึงการใช้ Google Maps ให้ลูกค้าสามารถค้นหาคุณได้ทันทีผ่านมือถือ

การใช้คีย์เวิร์ดที่เน้นพื้นที่ (Location-Specific Keywords) การเลือกใช้คีย์เวิร์ดที่เจาะจงพื้นที่เป็นสิ่งสำคัญ เช่น การเพิ่มคำบอกสถานที่ เช่น “ร้านกาแฟในเชียงใหม่” หรือ “ทนายความกรุงเทพ” ลงในเนื้อหาของเว็บไซต์หรือ blog posts จะช่วยให้ผู้ค้นหาที่มองหาบริการในพื้นที่สามารถเจอธุรกิจของคุณได้ง่ายขึ้น

รีวิวจากลูกค้าและการจัดการรีวิว การมีรีวิวที่ดีและการตอบรีวิวของลูกค้าบนแพลตฟอร์มเช่น Google Business Profile หรือ Yelp หรือ Facebook จะส่งผลต่ออันดับ Local SEO โดยตรง ยิ่งรีวิวที่ดีมากเท่าไร และการตอบกลับของธุรกิจที่ดีจะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและช่วยให้อันดับในการค้นหาดีขึ้น

การใช้ข้อมูลเชิงโครงสร้าง (Structured Data Markup) สำหรับข้อมูลท้องถิ่น การใช้ schema markup ที่เน้นเกี่ยวกับข้อมูลท้องถิ่น เช่น ที่อยู่, หมายเลขโทรศัพท์, รีวิว, ราคา และคำอธิบายสถานที่ จะช่วยเพิ่มโอกาสให้ธุรกิจของคุณปรากฏใน rich snippets ซึ่งจะช่วยให้ข้อมูลของคุณมีความโดดเด่นในหน้าการค้นหา

เนื้อหาที่เฉพาะเจาะจงสำหรับชุมชน (Localized Content) การสร้างเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่ที่ธุรกิจของคุณตั้งอยู่ เช่น การเขียนบทความเกี่ยวกับกิจกรรมท้องถิ่นหรือความเชี่ยวชาญในพื้นที่นั้น ๆ จะทำให้คุณสามารถสร้างความเชื่อมโยงกับลูกค้าในพื้นที่ได้ดีขึ้น และทำให้ search engines เข้าใจว่าคุณมีความเกี่ยวข้องกับพื้นที่ที่คุณต้องการให้บริการ

การค้นหาด้วยเสียง (Voice Search) สำหรับ Local SEO การค้นหาด้วยเสียงที่มักมีการใช้คำถามเชิงท้องถิ่น เช่น “ร้านอาหารใกล้ฉัน” จะเพิ่มความสำคัญ การทำ SEO สำหรับการค้นหาด้วยเสียงที่เน้นพื้นที่จะช่วยให้คุณตอบโจทย์พฤติกรรมการค้นหาของผู้บริโภคในปัจจุบันได้ดียิ่งขึ้น

ปัจจัยการค้นหาแบบ “Near Me” การใช้คีย์เวิร์ดที่รวมคำว่า “ใกล้ฉัน” จะยังคงมีความสำคัญ การที่ธุรกิจของคุณถูกค้นหาเจอผ่านการใช้คำว่า “ใกล้ฉัน” หรือ “near me” ขึ้นอยู่กับการตั้งค่า Local SEO ที่ถูกต้อง เช่น การใส่ข้อมูลที่อยู่และพิกัดลงในเว็บไซต์อย่างถูกต้อง และการเชื่อมโยงกับ Google Business Profile

สรุปสำหรับ Local SEO ในปี 2025

Local SEO ยังคงเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการเข้าถึงลูกค้าในพื้นที่ การมุ่งเน้นในการจัดการโปรไฟล์ธุรกิจบน Google การใช้คีย์เวิร์ดที่เจาะจงพื้นที่, การเพิ่มเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่ และการให้ความสำคัญกับรีวิวและการค้นหาด้วยเสียง จะช่วยให้ธุรกิจของคุณสามารถติดอันดับสูงในผลการค้นหาท้องถิ่นได้

ผลวิจัย

งานวิจัย “The Top 54 Local SEO Statistics, Updated 2024” แสดงให้เห็นถึงความสำคัญที่เพิ่มขึ้นของ Local SEO โดยมีข้อมูลสำคัญคือ

พฤติกรรมการค้นหาในท้องถิ่น การวิจัยจาก Consumer Behavior Index (CBI) พบว่า 80% ของผู้บริโภคในสหรัฐอเมริกาค้นหาธุรกิจท้องถิ่นทุกสัปดาห์ และ 32% ทำการค้นหานี้ทุกวัน แสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคมีแนวโน้มที่จะใช้การค้นหาในท้องถิ่นมากขึ้น

การค้นหาด้วยคำว่า “ใกล้ฉัน” (Near Me) ข้อมูลจากเครื่องมือ Keyword Magic Tool ของ Semrush พบว่ามีคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับคำว่า “ใกล้ฉัน” กว่า 5.9 ล้านคำในสหรัฐอเมริกา และมีการค้นหาคำเหล่านี้มากถึง 800 ล้านครั้งต่อเดือน

จากสถิติเหล่านี้ การทำ Local SEO จึงยังคงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับธุรกิจที่ต้องการดึงดูดลูกค้าในพื้นที่

SEM (Search Engine Marketing)

กลยุทธ์ SEM (Search Engine Marketing) เป็นส่วนสำคัญในโลกการตลาดดิจิทัล โดยเป็นการใช้เครื่องมือค้นหาเพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจผ่านการแสดงโฆษณาแบบจ่ายต่อคลิก (PPC) เช่น Google Ads และ Bing Ads การลงทุนใน SEM สามารถช่วยเพิ่มการมองเห็นเว็บไซต์และดึงดูดผู้ใช้งานได้อย่างรวดเร็ว

กลยุทธ์หลักของ SEM ในปี 2025

การเลือกคีย์เวิร์ดที่มีความเฉพาะเจาะจงและเหมาะสม (Keyword Strategy)

การเลือกคีย์เวิร์ดที่เหมาะสมเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพของ SEM คุณควรเลือกคีย์เวิร์ดที่ตรงกับเจตนาของผู้ค้นหา (search intent) ทั้งคีย์เวิร์ดที่มีการแข่งขันสูงและคีย์เวิร์ดที่มีความเฉพาะเจาะจง (long-tail keywords) เพื่อลดค่าใช้จ่ายต่อคลิก (CPC) และเพิ่มอัตราการแปลงลูกค้า

การจัดโครงสร้างแคมเปญที่มีประสิทธิภาพ (Campaign Structure)

การจัดแคมเปญให้เป็นระบบและกลุ่มโฆษณาที่เจาะจงกลุ่มเป้าหมายจะช่วยให้การจัดการง่ายขึ้น เช่น การแยกกลุ่มโฆษณาตามประเภทสินค้า บริการ หรือสถานที่ตั้ง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความแม่นยำในการยิงโฆษณา

การเพิ่มคะแนนคุณภาพ (Quality Score)

Quality Score คือเกณฑ์ที่ Google ใช้ในการประเมินคุณภาพของโฆษณา โดยการมีคะแนนสูงสามารถช่วยลด CPC ได้ กลยุทธ์ในการเพิ่มคะแนนคุณภาพคือการทำให้คีย์เวิร์ด, โฆษณา, และหน้า Landing Page สอดคล้องกัน รวมถึงปรับปรุงประสบการณ์ของผู้ใช้บนหน้าเว็บไซต์

การใช้โฆษณาแบบ Dynamic Search Ads (DSA)

Dynamic Search Ads ช่วยให้ Google สร้างโฆษณาแบบอัตโนมัติจากเนื้อหาที่มีอยู่ในเว็บไซต์ ซึ่งเหมาะสำหรับเว็บไซต์ที่มีเนื้อหามากมายและซับซ้อน กลยุทธ์นี้ช่วยลดเวลาในการสร้างแคมเปญและทำให้สามารถเข้าถึงลูกค้าที่ค้นหาด้วยคีย์เวิร์ดหลากหลายได้ง่ายขึ้น

การใช้งานการกำหนดเป้าหมายใหม่ (Remarketing)

การทำ Remarketing เป็นวิธีการติดตามผู้ใช้ที่เคยเข้าเว็บไซต์หรือแสดงความสนใจในสินค้าและบริการของคุณ โดยการแสดงโฆษณาอีกครั้งกับกลุ่มนี้ผ่าน Google Display Network หรือ Search Ads ซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้ลูกค้ากลับมาซื้อสินค้าหรือใช้บริการอีกครั้ง

การใช้การกำหนดเป้าหมายตามสถานที่ (Location Targeting)

สำหรับธุรกิจท้องถิ่น การใช้การกำหนดเป้าหมายตามสถานที่เป็นสิ่งสำคัญ กลยุทธ์นี้ช่วยให้โฆษณาของคุณปรากฏเฉพาะในพื้นที่ที่คุณให้บริการหรือในพื้นที่ที่คุณต้องการเข้าถึงกลุ่มลูกค้า ทำให้คุณประหยัดค่าโฆษณาและเพิ่มความเกี่ยวข้องกับลูกค้าในพื้นที่นั้น ๆ

การวิเคราะห์และปรับแต่งแคมเปญอย่างต่อเนื่อง (Continuous Optimization)

การวิเคราะห์ข้อมูลจากแคมเปญ เช่น ค่า CPC, CTR (Click-Through Rate), และ Conversion Rate อย่างสม่ำเสมอช่วยให้คุณปรับกลยุทธ์ได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น คุณสามารถทดลองใช้ A/B Testing กับเนื้อหาโฆษณาเพื่อดูว่าแบบใดมีประสิทธิภาพดีที่สุด

การใช้โฆษณาบนมือถือ (Mobile Optimization)

ในยุคที่ผู้คนใช้มือถือในการค้นหามากขึ้น การปรับแคมเปญโฆษณาให้เหมาะกับการใช้งานบนมือถือ เช่น การปรับหน้า Landing Page ให้โหลดเร็วและแสดงผลได้ดีบนหน้าจอขนาดเล็ก เป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับ SEM ในปี 2025

การทำ SEM ให้ประสบความสำเร็จในปี 2025 ต้องอาศัยการวางแผนที่ละเอียดรอบคอบและการปรับกลยุทธ์อย่างต่อเนื่อง การใช้คีย์เวิร์ดที่เหมาะสม การวางแผนแคมเปญที่มีประสิทธิภาพ และการทำ Remarketing สามารถช่วยให้ธุรกิจของคุณเพิ่มการมองเห็นและสร้าง Conversion ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ผลวิจัย

การวิจัย Search Engine Marketing: A Systematic Literature Review เกี่ยวกับการตลาดผ่านเครื่องมือค้นหา (SEM) ได้กล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงที่ต่อเนื่องของวิธีการที่เครื่องมือค้นหา เช่น Google และ Yandex ใช้ในการรวบรวมข้อมูล จัดทำดัชนี และจัดอันดับเว็บไซต์ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้สร้างความท้าทายให้กับผู้ที่ทำงานในอุตสาหกรรมนี้ในการติดตามแนวโน้มและกลยุทธ์ล่าสุด

ประเด็นหลักของการวิจัย

โครงสร้างหลักของ SEM การศึกษาชี้ให้เห็นว่า SEM แบ่งออกเป็น 5 ส่วนหลัก ได้แก่ การตลาดดิจิทัล, การทำโฆษณาแบบชำระเงิน, การเลือกคีย์เวิร์ด, การเพิ่มประสิทธิภาพ (SEO), และการให้ข้อมูลแก่ผู้ใช้ โดย SEO อยู่ในกลุ่มการเพิ่มประสิทธิภาพที่มุ่งเน้นการทำให้เว็บไซต์มีอันดับสูงขึ้นในหน้าผลการค้นหา

คุณค่าในด้านการตลาด ธุรกิจทั้งที่แสวงหากำไรและไม่แสวงหากำไรใช้ SEM เพื่อส่งเสริมคุณค่าแก่ลูกค้าออนไลน์ ซึ่งการทำ SEM สามารถช่วยให้ลูกค้าค้นหาข้อมูลหรือบริการที่ต้องการได้รวดเร็วและสะดวกขึ้น ธุรกิจยังสามารถสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันได้ แม้ว่าแบรนด์จะไม่เป็นที่รู้จักก็ตาม หากเว็บไซต์สามารถอยู่ในอันดับสูงได้

การใช้โฆษณาแบบชำระเงิน (Sponsored Ads) การทำโฆษณาแบบชำระเงินช่วยให้ผู้บริโภคค้นหาคำที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์ได้ง่ายขึ้น ซึ่งการเลือกคีย์เวิร์ดที่ถูกต้องและการใช้คีย์เวิร์ดในโฆษณาส่งผลต่อพฤติกรรมการค้นหาครั้งต่อไปของผู้ใช้ นอกจากนี้ยังช่วยให้ธุรกิจสามารถประหยัดต้นทุนในระยะยาวได้ด้วยการสร้างการรับรู้ต่อแบรนด์

การประมูลคีย์เวิร์ด การเลือกคีย์เวิร์ดเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการทำ SEM โดยคีย์เวิร์ดทำหน้าที่เป็นการเชื่อมโยงระหว่างผู้บริโภคและธุรกิจ การเลือกคีย์เวิร์ดที่เหมาะสมช่วยให้โฆษณาแบบชำระเงินประสบความสำเร็จ และทำให้ผู้บริโภคเห็นแบรนด์ที่มีอันดับสูงเป็นแบรนด์ที่น่าเชื่อถือมากขึ้น

การพัฒนาของ SEM ในอนาคต ปัจจัยอย่างคุณภาพของเนื้อหา การใช้มือถือ และปัญญาประดิษฐ์จะกลายเป็นจุดสำคัญของ SEM ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เทคโนโลยีการประมวลผลภาษาธรรมชาติ (NLP) ก็จะถูกใช้งานมากขึ้น ธุรกิจจึงควรติดตามแนวโน้มเหล่านี้และปรับกลยุทธ์ SEM ของตนให้สอดคล้องกัน

3. Social media paid

การตลาดบนโซเชียลมีเดียแบบชำระเงิน (Social Media Paid Marketing) กำลังกลายเป็นเครื่องมือที่สำคัญและทรงพลังในโลกดิจิทัล โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อการใช้งานโซเชียลมีเดียมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง การวางกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพในปี 2025 จำเป็นต้องคำนึงถึงเทรนด์และนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นในแพลตฟอร์มต่าง ๆ อย่างเช่น Facebook, Instagram, TikTok, YouTube และ LinkedIn เพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างการรับรู้แบรนด์และการแปลงลูกค้าเป็นยอดขาย

การใช้โฆษณาที่ขับเคลื่อนด้วย AI (AI-Driven Advertising)

ในปี 2025 การโฆษณาจะใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) มากขึ้นในการช่วยวิเคราะห์ข้อมูลของกลุ่มเป้าหมายและทำให้แคมเปญมีประสิทธิภาพมากขึ้น AI จะช่วยในการกำหนดกลุ่มเป้าหมายอย่างแม่นยำตามพฤติกรรม ความชอบ และการค้นหาของผู้ใช้ AI ยังสามารถสร้างโฆษณาที่ปรับแต่งเนื้อหาเฉพาะบุคคล (personalized ads) เพื่อเพิ่มโอกาสในการดึงดูดความสนใจและเพิ่มอัตราการแปลง

การโฆษณาผ่านวีดีโอแบบสั้น (Short-Form Video Ads)

การโฆษณาด้วยวีดีโอแบบสั้น เช่น วีดีโอ 15-30 วินาทีบน TikTok, Instagram Reels หรือ YouTube Shorts ยังคงเป็นเครื่องมือสำคัญในปี 2025 วีดีโอที่มีเนื้อหาสั้น เข้าใจง่าย และดึงดูดสายตาจะช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วมจากผู้ใช้ และส่งเสริมการรับรู้แบรนด์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การใช้โฆษณาแบบโต้ตอบ (Interactive Ads)

ผู้บริโภคต้องการความมีส่วนร่วมและประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร การใช้โฆษณาแบบโต้ตอบ เช่น โพลล์ คำถาม-ตอบ (Q&A) และการตอบสนองผ่าน AR (Augmented Reality) จะเป็นกลยุทธ์ที่ช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วมของผู้ใช้และทำให้พวกเขารู้สึกเชื่อมโยงกับแบรนด์มากขึ้น นอกจากนี้ โฆษณาแบบ Interactive ยังช่วยเพิ่มเวลาในการรับชมและเพิ่มโอกาสในการแปลงยอดขาย

การใช้ Influencer และ Micro-Influencer ในการโฆษณา (Influencer & Micro-Influencer Advertising)

การทำงานร่วมกับ Influencers ยังคงเป็นเครื่องมือสำคัญในปี 2025 แต่มีแนวโน้มว่า Micro-Influencers (ผู้ที่มีผู้ติดตามไม่มาก แต่มีความเชื่อถือในกลุ่มเฉพาะ) จะได้รับความนิยมมากขึ้น เพราะมีความน่าเชื่อถือและสามารถสร้างการมีส่วนร่วมกับกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ การใช้ Influencers ที่เหมาะสมกับแบรนด์ช่วยให้โฆษณามีความเป็นธรรมชาติและน่าสนใจมากขึ้น

การโฆษณาที่เน้นการขายสินค้าผ่านแพลตฟอร์ม (Social Commerce Ads)

ในปี 2025 การขายสินค้าผ่านโซเชียลมีเดีย (Social Commerce) จะเติบโตมากขึ้น การโฆษณาที่เชื่อมต่อกับระบบชำระเงินโดยตรง เช่น Facebook Shops, Instagram Checkout หรือ TikTok Shopping จะช่วยลดขั้นตอนในการทำธุรกรรมของผู้ใช้และเพิ่มอัตราการแปลงให้กับแบรนด์ โดยโฆษณาที่สามารถนำผู้ใช้ไปยังการชำระเงินได้ทันทีจะเป็นที่นิยม

การโฆษณาที่ตอบโจทย์การค้นหาเสียง (Voice Search Ads)

ด้วยการเติบโตของการค้นหาด้วยเสียง (Voice Search) ผ่านอุปกรณ์อย่างเช่น Alexa หรือ Google Assistant แบรนด์จะเริ่มปรับกลยุทธ์โฆษณาให้รองรับการค้นหาด้วยเสียงมากขึ้น การใช้คีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับการค้นหาด้วยเสียงจะช่วยให้แบรนด์สามารถเข้าถึงผู้บริโภคที่ใช้การค้นหาเสียงได้ง่ายขึ้น

การวิเคราะห์ข้อมูลแบบเชิงลึก (Advanced Data Analytics)

การใช้เครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลจะกลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการตลาดแบบ Social Media Paid แบรนด์จะต้องใช้ข้อมูลเชิงลึกเพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมายและปรับปรุงแคมเปญโฆษณา การใช้ข้อมูลแบบเรียลไทม์ (real-time data) จะช่วยให้แบรนด์สามารถปรับกลยุทธ์ได้ทันทีและเพิ่มโอกาสในการทำกำไร

การโฆษณาที่ปรับแต่งตามตำแหน่งที่ตั้ง (Location-Based Ads)

การใช้โฆษณาที่ปรับแต่งตามตำแหน่งที่ตั้งจะยังคงมีความสำคัญในปี 2025 โดยเฉพาะสำหรับธุรกิจท้องถิ่น การใช้ข้อมูลตำแหน่งที่ตั้งช่วยให้สามารถส่งโฆษณาไปยังผู้บริโภคที่อยู่ใกล้เคียงกับสถานที่ตั้งของธุรกิจได้โดยตรง เพิ่มโอกาสในการสร้างลูกค้าหน้าร้านและการซื้อในพื้นที่

การทำ Remarketing อย่างมีประสิทธิภาพ (Effective Remarketing)

การติดตามลูกค้าที่เคยเยี่ยมชมเว็บไซต์หรือมีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์แต่ยังไม่ทำการซื้อ Remarketing Ads จะเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการดึงลูกค้าเหล่านี้กลับมาซื้อสินค้า ด้วยการใช้โฆษณาที่ปรับเนื้อหาให้สอดคล้องกับพฤติกรรมการใช้งานของลูกค้า

กลยุทธ์การตลาดแบบชำระเงินบนโซเชียลมีเดียในปี 2025 ต้องเน้นการใช้เทคโนโลยี AI และการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกเพื่อปรับปรุงแคมเปญโฆษณา นอกจากนี้ การทำโฆษณาที่มีความโต้ตอบ การใช้ Influencers และการขายสินค้าผ่านโซเชียลคอมเมิร์ซจะมีบทบาทสำคัญ ธุรกิจควรคำนึงถึงการสร้างเนื้อหาที่ดึงดูดและตอบโจทย์ผู้บริโภคในยุคดิจิทัล

4. Collaboration and Partner

ในปี 2025 การตลาดแบบ Collaboration และ Partnership จะกลายเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างความสำเร็จให้กับธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการร่วมมือระหว่างแบรนด์กับแบรนด์ (B2B), แบรนด์กับผู้สร้างเนื้อหา (Content Creators), หรือแบรนด์กับผู้มีอิทธิพล (Influencers) การใช้กลยุทธ์การตลาดผ่านการสร้างความร่วมมือและพันธมิตรจะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือ การเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายใหม่ และส่งเสริมการเติบโตในระยะยาว

Collaboration ระหว่างแบรนด์ (Brand-to-Brand Collaboration)

การสร้างพันธมิตรระหว่างแบรนด์เป็นกลยุทธ์ที่เห็นผลดีมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ในปี 2025 แบรนด์ต่างๆ จะหันมาร่วมมือกันมากขึ้นเพื่อสร้างแคมเปญที่ใหญ่ขึ้นและแข็งแรงขึ้น การจับคู่กับแบรนด์ที่มีคุณค่าหรือภาพลักษณ์ที่สอดคล้องกันสามารถช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและขยายฐานลูกค้าได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแบรนด์ที่มีฐานลูกค้าใกล้เคียงกันหรือเสริมซึ่งกันและกัน ตัวอย่างเช่น การร่วมมือระหว่างแบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้ากับผู้ให้บริการสตรีมมิ่ง หรือแบรนด์เสื้อผ้ากับดีไซเนอร์อิสระ

Co-Branding

Co-Branding คือการร่วมมือกันระหว่างสองแบรนด์เพื่อสร้างสินค้าหรือบริการใหม่ร่วมกัน โดยในปี 2025 การทำ Co-Branding จะยิ่งทวีความสำคัญมากขึ้น ด้วยการที่ผู้บริโภคต้องการประสบการณ์ใหม่ๆ ที่แตกต่าง การที่สองแบรนด์นำความเชี่ยวชาญของตนมารวมกันเพื่อสร้างผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่ จะช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงตลาดใหม่ๆ และเพิ่มมูลค่าให้กับทั้งสองฝ่าย ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือการร่วมมือกันระหว่าง Nike และ Apple ที่สร้างผลิตภัณฑ์ Nike+ เพื่อเจาะกลุ่มผู้ที่ชื่นชอบการออกกำลังกาย

การร่วมมือกับ Influencers และ Creators

การใช้ Influencers และ Creators ยังเป็นกลยุทธ์ที่แข็งแกร่งในปี 2025 โดยเฉพาะอย่างยิ่งการร่วมมือกับ Micro-Influencers หรือ Nano-Influencers ที่มีฐานผู้ติดตามเล็กแต่มีความน่าเชื่อถือสูงในชุมชนของพวกเขา การสร้างแคมเปญร่วมกับ Influencers เหล่านี้จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ และเข้าถึงผู้บริโภคที่มีการเชื่อมโยงกับ Influencers ได้อย่างเป็นธรรมชาติ

การสร้างพันธมิตรทางเทคโนโลยี (Tech Partnerships)

ในปี 2025 ความร่วมมือกับบริษัทเทคโนโลยีจะเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพ เนื่องจากการพัฒนาเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว เช่น AI, AR, และ IoT การสร้างพันธมิตรกับผู้ให้บริการเทคโนโลยีจะช่วยให้แบรนด์สามารถนำเสนอนวัตกรรมใหม่ๆ ให้กับลูกค้าได้ เช่น การใช้ AI ในการให้คำแนะนำส่วนบุคคล (Personalized Recommendations) หรือการใช้ AR ในการจำลองประสบการณ์การใช้สินค้าก่อนตัดสินใจซื้อ

การร่วมมือในแคมเปญความยั่งยืน (Sustainability Partnerships)

ความยั่งยืนกลายเป็นประเด็นสำคัญที่ผู้บริโภคให้ความสนใจเพิ่มขึ้น การสร้างพันธมิตรที่เน้นด้านความยั่งยืนจะกลายเป็นจุดเด่นในปี 2025 การร่วมมือกับองค์กรไม่แสวงหากำไร (NGOs) หรือองค์กรที่มีภารกิจเพื่อสิ่งแวดล้อม จะช่วยเพิ่มภาพลักษณ์ในด้านความรับผิดชอบต่อสังคมของแบรนด์ นอกจากนี้ยังช่วยดึงดูดกลุ่มลูกค้าที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน ตัวอย่างเช่น การร่วมมือกันระหว่างแบรนด์แฟชั่นกับองค์กรที่สนับสนุนการรีไซเคิลเสื้อผ้า หรือการสร้างแคมเปญที่สนับสนุนการลดขยะพลาสติก

พันธมิตรทางการศึกษา (Educational Partnerships)

อีกหนึ่งกลยุทธ์ที่ได้รับความสนใจคือการสร้างพันธมิตรกับสถาบันการศึกษา การร่วมมือกับมหาวิทยาลัย โรงเรียน หรือแพลตฟอร์มการเรียนรู้ออนไลน์สามารถช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์แบรนด์ว่าเป็นผู้ให้ความรู้และมีความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรม เช่น การสร้างคอร์สการเรียนรู้ออนไลน์ที่เกี่ยวข้องกับสินค้าและบริการของแบรนด์ หรือการเป็นผู้สนับสนุนงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง

Cross-Industry Collaboration

การร่วมมือระหว่างอุตสาหกรรมที่แตกต่างกันจะเป็นเทรนด์สำคัญในปี 2025 แบรนด์สามารถทำงานร่วมกับพันธมิตรที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่ไม่เกี่ยวข้องโดยตรงเพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ตัวอย่างเช่น การร่วมมือกันระหว่างอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว เพื่อสร้างแอปพลิเคชันการท่องเที่ยวที่ใช้ AI ในการแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวที่เหมาะสมกับนักท่องเที่ยว

ใช้พันธมิตรในการขยายตลาด (Market Expansion Partnerships)

สำหรับธุรกิจที่ต้องการขยายตลาดใหม่ๆ การสร้างพันธมิตรในระดับสากลเป็นสิ่งสำคัญ พันธมิตรที่มีความเข้าใจในตลาดท้องถิ่นและเครือข่ายธุรกิจที่แข็งแกร่งสามารถช่วยให้แบรนด์เจาะตลาดใหม่ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ตัวอย่างเช่น การร่วมมือกับแบรนด์ท้องถิ่นในประเทศเป้าหมายเพื่อเปิดตัวสินค้า หรือใช้โครงสร้างพื้นฐานของพันธมิตรในการกระจายสินค้า

การวัดผลและปรับปรุงการร่วมมือ (Performance Monitoring and Continuous Improvement)

การติดตามผลการร่วมมือและการวัดความสำเร็จเป็นสิ่งที่สำคัญในการสร้างกลยุทธ์การตลาดร่วมกันในระยะยาว การใช้เครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อตรวจสอบผลลัพธ์ เช่น การเพิ่มยอดขาย การมีส่วนร่วมของลูกค้า และการรับรู้แบรนด์ จะช่วยให้แบรนด์สามารถปรับปรุงแผนกลยุทธ์ได้อย่างต่อเนื่อง

ในปี 2025 การสร้างพันธมิตรและความร่วมมือจะเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนการตลาด แบรนด์ต่างๆ จะต้องพัฒนาความสัมพันธ์ที่มั่นคงกับพันธมิตรที่เหมาะสม ทั้งในด้านการสร้างสรรค์นวัตกรรม การเสริมสร้างความน่าเชื่อถือ และการขยายตลาดให้กว้างขึ้น

5. Sponsorship

การใช้ Sponsorship ในปี 2025 จะเน้นที่การสร้างความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับลูกค้าและชุมชนผ่านการสนับสนุนกิจกรรมหรือแพลตฟอร์มที่ตรงกับคุณค่าของแบรนด์ โดยกลยุทธ์สำคัญมีดังนี้

Sponsorship ที่ตรงกับค่านิยมของแบรนด์ เลือกสนับสนุนกิจกรรมหรือองค์กรที่สอดคล้องกับคุณค่าหลักของแบรนด์ เช่น กิจกรรมด้านความยั่งยืน หรือกิจกรรมที่เน้นการพัฒนาชุมชน

การใช้ Data-Driven Sponsorship ใช้ข้อมูลและ AI ในการวิเคราะห์เพื่อเลือกกิจกรรมที่มีโอกาสสร้าง ROI สูงสุด ช่วยให้แบรนด์จับกลุ่มเป้าหมายได้แม่นยำยิ่งขึ้น

Digital Sponsorship สนับสนุนกิจกรรมหรือแพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น การแข่งขัน e-sports หรือการจัดสัมมนาออนไลน์ ซึ่งสามารถขยายการเข้าถึงได้ทั่วโลก

Sponsorship ในระดับท้องถิ่น: สนับสนุนกิจกรรมในชุมชนท้องถิ่น ช่วยให้แบรนด์เชื่อมต่อกับลูกค้าในพื้นที่อย่างใกล้ชิด และสร้างความสัมพันธ์ระยะยาว

สร้างเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง ผลิตคอนเทนต์หรือแคมเปญที่สอดคล้องกับกิจกรรมที่แบรนด์สนับสนุน เพื่อเสริมสร้างการรับรู้และการมีส่วนร่วมจากลูกค้า

กลยุทธ์ Sponsorship ในปี 2025 จะต้องเน้นความสอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายและสร้างผลประโยชน์ร่วมกันเพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงทางอารมณ์กับลูกค้า.

6. TikTok Focus

ในปี 2025 การใช้ TikTok เป็นแพลตฟอร์มหลักในการตลาดจะมีความสำคัญมากขึ้น โดยกลยุทธ์หลักมีดังนี้:

เนื้อหาที่สร้างสรรค์และเป็นธรรมชาติ ผลิตวิดีโอที่น่าสนใจและเข้าถึงอารมณ์ของผู้ชม เช่น การเล่าเรื่องราว การใช้ความตลกขบขัน หรือการแชร์ประสบการณ์จริง โดยไม่ทำให้รู้สึกเหมือนโฆษณา

การใช้ Influencers ร่วมมือกับ TikTok Influencers ที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับกลุ่มเป้าหมาย เพื่อขยายการเข้าถึงและสร้างความน่าเชื่อถือผ่านการรีวิวหรือการแสดงผลิตภัณฑ์

Hashtag Challenges สร้างความท้าทายที่สนุกสนาน โดยให้ผู้ใช้เข้าร่วมและแชร์เนื้อหาของตัวเอง เช่น การเต้น การทำอาหาร หรือการแสดงความสามารถ เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมและเพิ่มการรับรู้แบรนด์

โฆษณาในรูปแบบสั้น ใช้โฆษณาแบบ In-Feed Ads หรือ Branded Effects ที่สามารถดึงดูดความสนใจในระยะเวลาสั้นๆ โดยเฉพาะเมื่อผู้ใช้กำลังเลื่อนดูวิดีโอ

การวิเคราะห์ข้อมูล ใช้เครื่องมือวิเคราะห์เพื่อเข้าใจพฤติกรรมและความชอบของผู้ชม ทำให้สามารถปรับกลยุทธ์และเนื้อหาให้ตรงกับความต้องการได้มากขึ้น

เน้นความยั่งยืนและคุณค่า สื่อสารคุณค่าของแบรนด์ที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืนและสังคม เพื่อดึงดูดกลุ่มผู้บริโภคที่ใส่ใจในปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อม

กลยุทธ์ TikTok Focus จะช่วยให้แบรนด์สามารถเข้าถึงกลุ่มผู้ชมรุ่นใหม่และสร้างการมีส่วนร่วมอย่างมีประสิทธิภาพในปี 2025

7. M2M Ecosystem

ในปี 2025 การใช้กลยุทธ์ M2M หรือ Mouth to Mouth จะมีความสำคัญในการสร้างอิทธิพลผ่านการบอกต่อ โดยมุ่งเน้นไปที่

การสร้างเนื้อหาที่น่าสนใจ ผลิตคอนเทนต์ที่กระตุ้นให้เกิดการพูดถึง เช่น วิดีโอไวรัล หรือเรื่องราวที่สร้างแรงบันดาลใจ เพื่อกระตุ้นให้ผู้บริโภคแบ่งปัน

การใช้ Influencers ร่วมมือกับผู้มีอิทธิพลที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย เพื่อใช้พลังของการบอกต่อในกลุ่มผู้ติดตาม

สร้างชุมชน สร้างแพลตฟอร์มที่ให้ลูกค้าสามารถพูดคุยและแบ่งปันประสบการณ์ เช่น กลุ่ม Facebook หรือฟอรัมที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์

กระตุ้นการมีส่วนร่วม จัดกิจกรรมหรือการแข่งขันที่กระตุ้นให้ผู้คนมีส่วนร่วมและแบ่งปันประสบการณ์ เช่น การรีวิวผลิตภัณฑ์หรือการแชร์ภาพถ่าย

การตอบสนองอย่างรวดเร็ว ตอบกลับความคิดเห็นและคำถามจากลูกค้าอย่างรวดเร็ว เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและกระตุ้นการบอกต่อในเชิงบวก

การใช้ข้อมูลและการวิเคราะห์ ใช้ข้อมูลเพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมและความสนใจของลูกค้า เพื่อปรับกลยุทธ์การสื่อสารให้เหมาะสม

กลยุทธ์ M2M ในปี 2025 จะช่วยให้แบรนด์สามารถสร้างอิทธิพลผ่านการบอกต่อ และสร้างความเชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์หรือบริการได้อย่างมีประสิทธิภาพ

8. Ozone Influence

กลยุทธ์ Ozone ประกอบด้วย 3 ปัจจัยหลักคือ อิทธิพลภายนอก (Outer Influence) แรงชักจูงจากบุคคลอื่น (Other’s Influence) และ แรงผลักดันส่วนตัว (Own Influence) โดยมีรายละเอียดดังนี้

อิทธิพลภายนอก (Outer Influence)

เกิดจากโฆษณาและข้อมูลข่าวสารที่ลูกค้าได้รับจากแหล่งต่าง ๆ เช่น การติดต่อสื่อสารกับแบรนด์ผ่านพนักงานขายและบริการลูกค้า

การสร้างอิทธิพลนี้ให้มีประสิทธิภาพต้องเน้นการสื่อสารทางการตลาดที่ชัดเจน ให้ข้อมูลที่ตรงและน่าเชื่อถือ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในแบรนด์

แรงชักจูงจากบุคคลอื่น (Other’s Influence)

มาจากการมีส่วนร่วมและคำแนะนำจากกลุ่มคนรอบข้าง เช่น คำบอกเล่าแบบปากต่อปาก, ความคิดเห็นจากญาติสนิทและมิตรสหาย, รวมถึงรีวิวสินค้าในโซเชียลมีเดีย

การใช้การตลาดในชุมชนจะช่วยเสริมอิทธิพลจากกลุ่มนี้ โดยเน้นการเข้าถึงสมาชิกที่มีอิทธิพลในกลุ่มแทนการโฟกัสที่ผู้บริโภคโดยตรง

แรงผลักดันส่วนตัว (Own Influence)

มาจากประสบการณ์ของลูกค้าในอดีต เช่น ความพึงพอใจจากการซื้อสินค้าและความสัมพันธ์กับแบรนด์

การสร้างแรงผลักดันนี้ให้ทรงพลังต้องเน้นเสริมสร้างประสบการณ์ลูกค้าให้ดีที่สุด โดยเฉพาะการบริการหลังการขาย เพื่อให้เกิดความประทับใจและการบอกต่อในกลุ่ม Social Network

กลยุทธ์ Ozone นี้จะช่วยให้แบรนด์สามารถสร้างอิทธิพลที่มีประสิทธิภาพและเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างแบรนด์กับลูกค้าในปี 2025

9. Uniqueness and Differentiate

การสร้างความโดดเด่นและความแตกต่างในกลยุทธ์การตลาดเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้แบรนด์สามารถแข่งขันได้ในตลาดที่มีการแข่งขันสูง โดยสามารถแบ่งกลยุทธ์นี้ออกเป็น 3 ด้านหลัก คือ Content, Branding, และ Positioning

Content

การสร้างเนื้อหาที่มีเอกลักษณ์ สร้างเนื้อหาที่ไม่ซ้ำใครและมีคุณค่า โดยใช้ข้อมูลที่เป็นเฉพาะหรือมุมมองที่แตกต่างจากคู่แข่ง เช่น การเล่าเรื่องราวที่มีความหมายหรือการให้ข้อมูลที่มีความเฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับกลุ่มเป้าหมาย

การใช้รูปแบบที่หลากหลาย นำเสนอเนื้อหาในรูปแบบที่หลากหลาย เช่น วิดีโอ, พอดแคสต์, หรือกราฟิกที่ดึงดูด ซึ่งช่วยให้ผู้บริโภคมีปฏิสัมพันธ์กับเนื้อหาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

การมีส่วนร่วมกับผู้ใช้ สร้างเนื้อหาที่กระตุ้นให้เกิดการมีส่วนร่วม เช่น การตั้งคำถามหรือการจัดกิจกรรมที่ผู้ใช้สามารถตอบสนองและแชร์ความคิดเห็นได้

Branding

การสร้างภาพลักษณ์ที่โดดเด่น ออกแบบโลโก้, สี, และฟอนต์ที่ไม่เหมือนใครเพื่อสร้างความประทับใจแรกที่ดี และทำให้ผู้บริโภคจดจำแบรนด์ได้ง่าย

การสร้างคุณค่าแบรนด์ ชัดเจนในสิ่งที่แบรนด์ของคุณเป็นและสิ่งที่มันเสนอ เช่น ความรับผิดชอบต่อสังคมหรือความยั่งยืน ซึ่งจะช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและเชื่อถือได้กับลูกค้า

การสร้างประสบการณ์ที่แตกต่าง เสนอบริการหรือประสบการณ์ที่มีความเฉพาะเจาะจง เช่น การบริการลูกค้าแบบพิเศษหรือการปรับแต่งผลิตภัณฑ์ให้ตรงกับความต้องการของลูกค้า

Positioning

การระบุจุดยืนที่ชัดเจนในตลาด วิเคราะห์คู่แข่งและกำหนดว่าคุณต้องการให้แบรนด์ของคุณอยู่ในใจของลูกค้าในลักษณะใด เช่น สินค้าพรีเมียมหรือสินค้าราคาประหยัด

การสื่อสารความแตกต่าง ใช้ข้อความที่ชัดเจนและตรงไปตรงมาในการสื่อสารความแตกต่างของผลิตภัณฑ์หรือบริการ เช่น การเน้นคุณสมบัติพิเศษหรือเทคโนโลยีที่เป็นนวัตกรรมใหม่

การสร้างกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน ทำความเข้าใจกับกลุ่มลูกค้าที่ต้องการเข้าถึงและสร้างกลยุทธ์การตลาดที่ตรงตามความต้องการและความคาดหวังของพวกเขา

การใช้ Uniqueness and Differentiate ในกลยุทธ์การตลาดจะช่วยให้แบรนด์มีความโดดเด่นในตลาด และทำให้ลูกค้าจดจำและสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับแบรนด์ในระยะยาว

10. Data Mining

การใช้ Data Mining ในกลยุทธ์การตลาดสามารถช่วยให้ธุรกิจเข้าใจพฤติกรรมของผู้บริโภคได้ดียิ่งขึ้น โดยสามารถนำข้อมูลมาใช้ในการตัดสินใจและวางแผนกลยุทธ์การตลาดที่มีประสิทธิภาพ

DATA MINING MARKETING 2025

1การวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า

การจัดกลุ่มลูกค้า (Customer Segmentation) ใช้ Data Mining เพื่อแบ่งกลุ่มลูกค้าตามพฤติกรรมการซื้อ เช่น การซื้อประจำ, ความชอบในสินค้า, หรือช่วงเวลาที่ทำการซื้อ โดยจะช่วยให้ธุรกิจสามารถปรับแต่งข้อเสนอและการตลาดให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายแต่ละกลุ่ม

การทำนายพฤติกรรม (Predictive Analytics) วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกเพื่อทำนายพฤติกรรมในอนาคต เช่น การทำนายการเลิกซื้อสินค้าหรือการเกิดความภักดี โดยสามารถเตรียมการตอบสนองเพื่อเพิ่มการรักษาลูกค้าได้

การปรับแต่งประสบการณ์ลูกค้า

การเสนอสินค้าแบบส่วนบุคคล (Personalized Recommendations): ใช้ข้อมูลจากการวิเคราะห์เพื่อเสนอสินค้าที่เหมาะสมกับแต่ละลูกค้า เช่น สินค้าที่คล้ายกันหรือสินค้าใหม่ที่ลูกค้าน่าจะสนใจ

การสร้างประสบการณ์ที่ดี (Customer Experience Optimization): วิเคราะห์ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับประสบการณ์ของลูกค้า เช่น การตอบสนองต่อการบริการหรือการสนทนาในโซเชียลมีเดีย เพื่อปรับปรุงบริการและเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า

การวางแผนกลยุทธ์การตลาด

การวิเคราะห์ข้อมูลการตลาด (Market Analysis) ใช้ข้อมูลจาก Data Mining เพื่อวิเคราะห์แนวโน้มตลาดและพฤติกรรมของคู่แข่ง โดยสามารถปรับกลยุทธ์เพื่อให้แข่งขันได้ดียิ่งขึ้น

การทดสอบและวัดผล (A/B Testing) ใช้ข้อมูลจากการทดลองทางการตลาดเพื่อทดสอบแคมเปญต่างๆ เช่น การเปรียบเทียบโฆษณาที่แตกต่างกันเพื่อดูว่าโฆษณาไหนมีประสิทธิภาพสูงสุด

การตัดสินใจที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล

การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก (Deep Data Analysis) ใช้เทคนิคการทำ Data Mining เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลที่ซับซ้อน เช่น การวิเคราะห์การซื้อในหลายช่องทาง (Omnichannel) ที่ช่วยให้เข้าใจว่าลูกค้าตัดสินใจซื้อจากช่องทางไหนมากที่สุด

การคาดการณ์แนวโน้ม (Trend Forecasting) ใช้ข้อมูลเพื่อคาดการณ์แนวโน้มในอนาคต เช่น การคาดการณ์ความต้องการของลูกค้าในอนาคต เพื่อวางแผนการผลิตและการตลาดให้มีประสิทธิภาพ

การนำ Data Mining มาใช้ในกลยุทธ์การตลาดไม่เพียงแต่จะช่วยให้ธุรกิจสามารถเข้าใจลูกค้าได้ดีขึ้น แต่ยังช่วยให้ธุรกิจสามารถตัดสินใจได้อย่างมีกลยุทธ์และขับเคลื่อนด้วยข้อมูลในอนาคต

สรุปบทความกลยุทธ์การตลาด 2025

บทความนี้นำเสนอแนวทางและกลยุทธ์ทางการตลาดที่จะมีความสำคัญในปี 2025 โดยเน้นถึงการปรับตัวของธุรกิจเพื่อให้สอดคล้องกับแนวโน้มและพฤติกรรมของผู้บริโภคในยุคดิจิทัล นอกจากนี้ยังรวมถึงการใช้เทคโนโลยีและข้อมูลในการวางแผนกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพ

กลยุทธ์เหล่านี้ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการปรับตัวในยุคดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยธุรกิจต้องนำเทคโนโลยีและข้อมูลมาใช้ในการพัฒนาและวางแผนกลยุทธ์การตลาดในปี 2025 อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างความแตกต่างและตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างเต็มที่