AI & กฎหมาย: พรบ AI กำลังจะมา! ธุรกิจต้องเตรียมตัวรับมืออย่างไร?

พรบ AI 22 AI Law how to prepare for sme

พรบ AI: จาก ‘การทดลอง’ สู่ ‘ความรับผิดชอบ’: สร้างกรอบธรรมาภิบาล AI (AI Governance) ก่อนจะถูกกฎหมายบังคับ

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ภาคธุรกิจของไทยได้ก้าวเข้าสู่ยุคแห่งการปฏิวัติโดยปัญญาประดิษฐ์ (AI) อย่างเต็มรูปแบบ เราได้เห็นการนำ AI มาใช้อย่างกว้างขวางเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ  สร้างสรรค์นวัตกรรม  และทำความเข้าใจลูกค้าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แต่เช่นเดียวกับเทคโนโลยีเปลี่ยนโลกทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์หรืออินเทอร์เน็ต เมื่อยุคแห่งการเติบโตอย่างเสรีสิ้นสุดลง ยุคแห่ง “กฎระเบียบ” ก็จะเข้ามาแทนที่

ณ ปัจจุบัน (สิงหาคม 2025) ประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วงของการร่าง “พระราชบัญญัติปัญญาประดิษฐ์” หรือ พ.ร.บ. AI ซึ่งคาดว่าจะออกมาบังคับใช้ในอนาคตอันใกล้ นี่ไม่ใช่สัญญาณที่น่าตื่นตระหนก แต่เป็นสัญญาณเตือนที่สำคัญสำหรับผู้นำธุรกิจว่า ยุคของการทดลองใช้ AI แบบ “ลองผิดลองถูก” กำลังจะหมดไป และยุคแห่งการใช้ AI อย่าง “มีความรับผิดชอบ” ภายใต้กรอบกฎหมายกำลังจะเริ่มต้นขึ้น

ทำไมการ ‘รอ’ ให้กฎหมาย พรบ AI ออก คือกลยุทธ์ที่เสี่ยงที่สุด

การนิ่งนอนใจและรอให้กฎหมายประกาศใช้อย่างเป็นทางการก่อนแล้วค่อยปรับตัว คือแนวทางที่อาจสร้างความเสียหายให้ธุรกิจของคุณได้อย่างมหาศาล

  1. กฎระเบียบเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ (Regulation is Inevitable): ทั่วโลกกำลังเคลื่อนไปในทิศทางเดียวกัน โดยมี “EU AI Act” ของสหภาพยุโรปเป็นต้นแบบ ชี้ให้เห็นว่าการกำกับดูแล AI เป็นเรื่องของ “เมื่อไหร่” ไม่ใช่ “ถ้าหาก” การเตรียมตัวตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยให้คุณปรับตัวได้อย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพกว่าการต้องมาเร่งแก้ไขทุกอย่างในนาทีสุดท้าย
  2. ความไว้วางใจคือความได้เปรียบในวันนี้: ลูกค้าและคู่ค้าในปัจจุบันมีความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงของ AI (เช่น อคติ  การละเมิดความเป็นส่วนตัว) ธุรกิจที่สามารถแสดงให้เห็นว่าตนเองมีกรอบการใช้ AI อย่างมีจริยธรรมและโปร่งใส จะสามารถสร้าง “ความไว้วางใจ” ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ล้ำค่าและเป็นจุดแข็งทางการแข่งขันได้ก่อนที่กฎหมายจะบังคับเสียอีก
  3. หลีกเลี่ยง ‘หนี้ทางเทคนิค’ (Technical Debt): การสร้างหรือนำระบบ AI มาใช้โดยปราศจากกรอบธรรมาภิบาล ก็เหมือนการสร้างตึกโดยไม่มีพิมพ์เขียว การต้องกลับไปรื้อแก้ไขระบบเพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมายในภายหลังนั้น มีต้นทุนที่สูงและซับซ้อนกว่าการวางโครงสร้างให้ถูกต้องตั้งแต่แรกเริ่ม
  4. ดึงดูดคนเก่งและพันธมิตร: บุคลากรสายเทคโนโลยีที่มีคุณภาพต้องการทำงานในองค์กรที่มีจริยธรรม ในขณะเดียวกัน บริษัทขนาดใหญ่ก็เริ่มตรวจสอบคู่ค้าในห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ของตนว่ามีการใช้ AI อย่างรับผิดชอบหรือไม่

AI Governance Framework: 4 ขั้นตอนสร้าง ‘ภูมิคุ้มกัน’ ให้ธุรกิจพร้อมรับกฎหมาย AI

แม้เราจะยังไม่เห็นเนื้อหาฉบับสมบูรณ์ของ พ.ร.บ. AI ประเทศไทย แต่เราสามารถคาดการณ์ได้ว่ากฎหมายจะใช้แนวทาง “ตามระดับความเสี่ยง” (Risk-Based Approach) เหมือนกับมาตรฐานสากล ดังนั้น ผู้นำธุรกิจสามารถเริ่มต้นสร้างกรอบธรรมาภิบาล AI หรือ AI Governance ที่เปรียบเสมือนภูมิคุ้มกันให้องค์กรได้ตั้งแต่วันนี้

1. จัดทำ ‘ทะเบียน AI’ (Create an ‘AI Inventory’)

ขั้นตอนแรกคือการสำรวจและตอบคำถามให้ได้ว่า “วันนี้องค์กรของเรามีการใช้ AI ในส่วนไหนบ้าง?” ลิสต์ออกมาให้หมด ไม่ว่าจะเป็น Chatbot บนเว็บไซต์  ระบบแนะนำสินค้า  หรือ AI ที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลการตลาด คุณไม่สามารถกำกับดูแลในสิ่งที่คุณมองไม่เห็นได้

2. ประเมิน ‘ระดับความเสี่ยง’ (Assess the ‘Risk Level’)

เมื่อเห็นภาพรวมแล้ว ให้เริ่มจำแนกประเภทของ AI ตามระดับความเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบต่อมนุษย์

  • AI ความเสี่ยงสูง (High-Risk): คือ AI ที่มีผลต่อการตัดสินใจที่สำคัญ เช่น AI ที่ใช้คัดกรองใบสมัครงาน  AI ที่ใช้อนุมัติสินเชื่อ  หรือ AI ที่ใช้ในการวินิจฉัยทางการแพทย์ ระบบเหล่านี้จะถูกกำกับดูแลอย่างเข้มงวดที่สุด
  • AI ความเสี่ยงต่ำ (Low-Risk): คือ AI ที่มีความเสี่ยงน้อย เช่น AI ที่ใช้จัดการสต็อกสินค้า  หรือ AI ที่ช่วยร่างอีเมลภายในองค์กร ระบบเหล่านี้จะมีข้อบังคับที่ผ่อนปรนกว่า

3. สร้าง ‘หลักการ AI’ ขององค์กร (Establish Company ‘AI Principles’)

ผู้นำต้องกำหนด “เข็มทิศทางจริยธรรม” ในการใช้ AI ขององค์กร ซึ่งอาจประกอบด้วยหลักการง่ายๆ เช่น:

  • ความเป็นธรรม (Fairness): เราจะทำให้มั่นใจได้อย่างไรว่า AI ของเราไม่มีอคติและไม่เลือกปฏิบัติ?
  • ความโปร่งใส (Transparency): เราจะสื่อสารกับลูกค้าอย่างชัดเจนเมื่อพวกเขากำลังมีปฏิสัมพันธ์กับ AI หรือไม่?
  • ความรับผิดชอบ (Accountability): เมื่อ AI ทำงานผิดพลาด ใครคือผู้รับผิดชอบ และเรามีมนุษย์คอยตรวจสอบ (Human-in-the-Loop) หรือไม่?

4. กำหนด ‘บทบาทและความรับผิดชอบ’ (Define Roles & Responsibilities)

การกำกับดูแล AI ไม่ใช่หน้าที่ของฝ่าย IT เพียงฝ่ายเดียว แต่ต้องเป็นการทำงานร่วมกันของหลายฝ่าย ทั้งฝ่ายกฎหมาย  Compliance  ผู้บริหาร  และฝ่ายปฏิบัติการ ผู้นำต้องกำหนดให้ชัดเจนว่าใครมีหน้าที่รับผิดชอบในการกำกับดูแลและตรวจสอบการใช้ AI ในองค์กร

กรณีศึกษา: ธนาคารกับการใช้ AI อนุมัติสินเชื่อ—ตัวอย่าง ‘AI ความเสี่ยงสูง’ ที่ต้องมีการกำกับดูแล

ลองนึกภาพธนาคารที่ใช้ระบบ AI ในการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อ “อนุมัติ” หรือ “ปฏิเสธ” คำขอสินเชื่อของลูกค้า นี่คือตัวอย่างที่ชัดเจนของ “AI ความเสี่ยงสูง” เพราะการตัดสินใจของ AI ส่งผลกระทบโดยตรงต่อชีวิตและโอกาสทางการเงินของผู้คน สิ่งที่ธนาคารต้องเตรียมพร้อม (และต้องทำอยู่แล้ว):

  • การตรวจสอบอคติ: ต้องมีการตรวจสอบอัลกอริทึมอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้เลือกปฏิบัติโดยดูจากเพศ  อายุ  หรือปัจจัยที่ไม่เกี่ยวข้องอื่นๆ
  • การมีมนุษย์ตรวจสอบ: ต้องมีกระบวนการให้เจ้าหน้าที่สินเชื่อสามารถเข้ามาตรวจสอบและทบทวนการตัดสินใจของ AI ได้ โดยเฉพาะในกรณีที่ละเอียดอ่อน
  • ความโปร่งใส: ต้องสามารถอธิบายให้ลูกค้าเข้าใจถึงหลักเกณฑ์ที่ใช้ในการพิจารณาได้ในระดับหนึ่ง

อนาคตของ AI ไม่ใช่แค่ ‘ฉลาดขึ้น’ แต่ต้อง ‘ดีขึ้น’ ด้วย: ผู้นำคือผู้กำหนดทิศทาง

พ.ร.บ. AI ที่กำลังจะมาถึง ไม่ใช่เส้นชัยที่ธุรกิจต้องวิ่งไปให้ถึง แต่เป็น “สัญญาณปล่อยตัว” สู่ยุคใหม่ของนวัตกรรมที่มีความรับผิดชอบ องค์กรที่จะเติบโตและเป็นที่ยอมรับในอนาคต คือองค์กรที่ไม่ได้มอง AI เป็นเพียงเครื่องมือสร้างผลกำไร แต่เป็นเทคโนโลยีที่ต้องถูกใช้อย่างเข้าใจและเคารพต่อผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับผู้คน

การสร้างกรอบธรรมาภิบาล AI ในวันนี้ คือการลงทุนเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญที่สุดที่ผู้นำจะทำได้ มันคือการประกาศให้ลูกจ้า  พนักงาน  และสังคมรับรู้ว่า ธุรกิจของคุณพร้อมแล้วสำหรับอนาคตที่ไว้วางใจได้

แหล่งข้อมูลอ้างอิง