บริหารความเสี่ยง: สำหรับ SME ที่ทำได้จริงในทุกสถานการณ์ ที่เหล่าผู้ประกอบการสามารถหยิบนำไปใช้ได้ทันทีใน 3 กลยุทธ์
ในโลกธุรกิจที่หมุนเร็วและเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน คำว่า “วิกฤติ” อาจฟังดูน่ากลัวสำหรับผู้ประกอบการหลายท่าน ไม่ว่าจะเป็นความผันผวนของเศรษฐกิจโลก การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคอย่างฉับพลัน หรือแม้แต่ปัญหาภายในองค์กรที่คาดไม่ถึง
แต่หากเรามองให้ดี การบริหารความเสี่ยงไม่ใช่เรื่องของการมองโลกในแง่ร้าย แต่คือการเตรียมความพร้อมอย่างชาญฉลาดเพื่อให้ธุรกิจของเราแข็งแกร่งและไปต่อได้ในทุกสถานการณ์ บทความนี้จาก Norm Thing จะพาทุกท่านไปรู้จักกับ 3 กลยุทธ์การบริหารความเสี่ยงที่ SME สามารถนำไปปรับใช้ได้จริง เพื่อเปลี่ยนความท้าทายให้กลายเป็นโอกาส
- การบริหารความเสี่ยง และการผนวกรวม ESG เข้ากับธุรกิจ
- การจัดการความเสี่ยงในธุรกิจด้วยกลยุทธ์ ESG
- ที่ปรึกษากฎหมายธุรกิจ
- ปรึกษาการตลาดออนไลน์ ทำไมธุรกิจจึงควรมี
ความเสี่ยงของธุรกิจเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องเจอ
ทำไมการบริหารความเสี่ยงจึงเป็นหัวใจสำคัญของธุรกิจยุคใหม่? เพราะความสำเร็จในอดีตไม่ได้การันตีความสำเร็จในอนาคตอีกต่อไป ในยุคที่การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเป็นปกติ การรอให้ปัญหาเกิดแล้วค่อยแก้ไข (Reactive) อาจสายเกินไปและสร้างความเสียหายมหาศาล
3 กลยุทธ์บริหารความเสี่ยง
การบริหารความเสี่ยงเชิงรุก (Proactive) จึงเปรียบเสมือนการสร้างเกราะป้องกันที่แข็งแกร่งให้ธุรกิจ ช่วยลดผลกระทบจากเหตุการณ์ไม่คาดฝัน รักษาเสถียรภาพทางการเงิน และที่สำคัญที่สุดคือ ช่วยให้คุณมองเห็นโอกาสใหม่ๆ ที่ซ่อนอยู่ในทุกวิกฤติ ซึ่งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของ Norm Thing ที่ต้องการนำพาผู้ประกอบการไทยให้ปรับตัวและเติบโตทันโลกยุคใหม่
1. กระจายความเสี่ยง: อย่าใส่ไข่ทุกฟองไว้ในตะกร้าใบเดียว
หลักการที่คลาสสิกที่สุดแต่ยังคงทรงพลังเสมอคือ “การกระจายความเสี่ยง” (Diversification) สำหรับ SME การพึ่งพารายได้จากสินค้าหรือบริการเพียงอย่างเดียว ลูกค้ารายใหญ่ไม่กี่ราย หรือซัพพลายเออร์เจ้าประจำเพียงเจ้าเดียว ถือเป็นความเสี่ยงอย่างยิ่ง ลองพิจารณาการกระจายความเสี่ยงในมิติต่างๆ เหล่านี้:
- ผลิตภัณฑ์และบริการ: หากคุณทำร้านอาหาร ลองพัฒนาผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปเพื่อขายออนไลน์ หรือสร้างชุด Catering สำหรับจัดเลี้ยงนอกสถานที่
- ฐานลูกค้า: หากลูกค้าหลักของคุณคือกลุ่มนักท่องเที่ยว ลองขยายตลาดไปยังกลุ่มลูกค้าองค์กรหรือคนในพื้นที่
- ช่องทางการขาย: นอกจากหน้าร้าน (Offline) คุณมีช่องทางออนไลน์ (Online) ที่แข็งแรงพอแล้วหรือยัง? การมีหลายช่องทางช่วยให้คุณเข้าถึงลูกค้าได้หลากหลายและไม่ได้รับผลกระทบหนักหากช่องทางใดช่องทางหนึ่งมีปัญหา
- ซัพพลายเออร์: สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับซัพพลายเออร์อย่างน้อย 2-3 ราย เพื่อเป็นแผนสำรองในกรณีที่เจ้าประจำไม่สามารถส่งมอบวัตถุดิบได้
2. สร้าง “แผนสำรอง” ที่ยืดหยุ่น (Contingency Plan)
การมีแผนสำรองไม่ได้หมายถึงการเขียนเอกสารหนาเป็นปึกแล้วเก็บไว้ในลิ้นชัก แต่คือการตั้งคำถามว่า “ถ้าหาก…จะทำอย่างไร?” (What if…?) และเตรียมแนวทางรับมือไว้ล่วงหน้าในประเด็นสำคัญๆ เช่น:
- ด้านการเงิน: เตรียมเงินทุนสำรองฉุกเฉิน (Cash Buffer) ที่สามารถหล่อเลี้ยงธุรกิจให้อยู่รอดได้ อย่างน้อย 3-6 เดือน โดยไม่ต้องมีรายรับเข้ามาเลย
- ด้านปฏิบัติการ (Operations): หากเครื่องจักรสำคัญเสีย มีแผนซ่อมบำรุงหรือเช่าเครื่องจักรทดแทนอย่างไร? หากออฟฟิศใช้งานไม่ได้ พนักงานสามารถทำงานจากที่บ้าน (Work from Home) ได้ทันทีหรือไม่?
- ด้านบุคลากร: หากพนักงานคนสำคัญลาออกหรือเจ็บป่วย มีใครที่สามารถทำหน้าที่แทนได้บ้าง? มีการจัดเก็บข้อมูลการทำงานและฝึกสอนทีมไว้พร้อมแล้วหรือยัง?
3. ใช้เทคโนโลยีและข้อมูลให้เป็นประโยชน์
ในยุคดิจิทัล ข้อมูลคือขุมทรัพย์ที่ช่วยให้เรามองเห็นสัญญาณเตือนภัยล่วงหน้าได้ SME ไม่จำเป็นต้องลงทุนกับระบบที่ซับซ้อนราคาแพง แต่สามารถเริ่มต้นจากเครื่องมือง่ายๆ ที่มีอยู่แล้วได้
- วิเคราะห์ข้อมูลการขาย: ใช้ข้อมูลจากเครื่อง POS หรือแพลตฟอร์ม E-commerce ของคุณเพื่อดูว่าสินค้าตัวไหนยอดขายเริ่มตก หรือลูกค้ากลุ่มไหนหายไป เพื่อวางแผนกระตุ้นยอดขายได้ทันท่วงที
- ใช้ระบบ CRM (Customer Relationship Management): เพื่อรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้าเก่าและเข้าใจความต้องการของพวกเขาได้ดียิ่งขึ้น การรักษาลูกค้าเก่ามีต้นทุนต่ำกว่าการหาลูกค้าใหม่เสมอ
- ใช้ Cloud Technology: การเก็บข้อมูลสำคัญของบริษัทไว้บนระบบคลาวด์ ช่วยลดความเสี่ยงจากข้อมูลสูญหายกรณีคอมพิวเตอร์เสียหายหรือเกิดภัยพิบัติ และยังช่วยให้ทีมทำงานร่วมกันจากที่ไหนก็ได้
ตัวอย่างให้เห็นภาพ: “ใจสู้คาเฟ่”
ร้านกาแฟ “ใจสู้คาเฟ่” เคยพึ่งพาลูกค้าจากออฟฟิศข้างๆ เป็นหลัก เมื่อออฟฟิศประกาศให้พนักงาน Work from Home ยอดขายจึงลดลงฮวบ แต่โชคดีที่ทางร้านได้วางแผนความเสี่ยงไว้ล่วงหน้า โดยเริ่ม (1) กระจายความเสี่ยง ด้วยการขายเมล็ดกาแฟคั่วและสร้างชุด “Home Cafe Set” ขายผ่านช่องทางออนไลน์ (2) มีแผนสำรอง ทางการเงินทำให้มีเงินสดพอประคองธุรกิจในช่วงแรก และปรับตัวให้พนักงานหน้าร้านมาช่วยแพ็กของและประสานงานเดลิเวอรี่ และ (3) ใช้ข้อมูล จาก Social Media พบว่าลูกค้าสนใจวิธีชงกาแฟที่บ้าน จึงทำคลิปสั้นๆ สอนชงกาแฟและโปรโมทสินค้าไปในตัว ทำให้เกิดยอดขายจากช่องทางใหม่และผ่านวิกฤติมาได้
สร้างภูมิคุ้มกันให้กับตัวเอง เพื่อรับมือทุกสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น
การบริหารความเสี่ยงไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัวหรือซับซ้อนเกินกว่าที่ SME จะลงมือทำ แต่มันคือการสร้าง “ภูมิคุ้มกัน” ให้กับธุรกิจของคุณ คือการเปลี่ยนจากความกลัวในสิ่งที่ไม่รู้ มาเป็นการเตรียมพร้อมสำหรับอนาคตอย่างมีกลยุทธ์ การเริ่มต้นวางแผนตั้งแต่วันนี้ คือก้าวที่สำคัญที่สุดในการสร้างธุรกิจที่ยั่งยืนและพร้อมเติบโตในทุกสภาวะ
หากคุณเป็นผู้ประกอบการหรือนักการตลาดที่ต้องการเปลี่ยนมุมมองและสร้างเกราะป้องกันที่แข็งแกร่งให้กับธุรกิจ ทีมที่ปรึกษาของ NORM THING พร้อมที่จะทำงานร่วมกับคุณเพื่อวิเคราะห์ความเสี่ยงและวางกลยุทธ์ที่เหมาะสมกับธุรกิจของคุณโดยเฉพาะ ติดต่อเราเพื่อรับคำปรึกษาเบื้องต้นได้แล้ววันนี้