สร้าง ‘ความได้เปรียบ’ ยุคใหม่ด้วย Adaptive Strategy

Strategy adaptive

แผนกลยุทธ์ | ทำไมความสามารถในการ ‘ปรับตัว’ ถึงสำคัญกว่าการมี ‘แผนที่’ ที่สมบูรณ์แบบในโลกธุรกิจที่คาดเดาไม่ได้

ภาพของเหล่าผู้บริหารระดับสูงที่เดินทางไปประชุมนอกสถานที่ เพื่อระดมสมองและจัดทำ “แผนกลยุทธ์ 5 ปี” ฉบับสมบูรณ์ คงเป็นภาพที่คุ้นเคยกันดีในโลกธุรกิจ เอกสารที่เต็มไปด้วยการวิเคราะห์ SWOT กราฟการเติบโต และแผนปฏิบัติการที่ถูกร้อยเรียงอย่างสวยงาม เคยเป็นคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ที่ชี้นำทิศทางขององค์กร แต่ในความเป็นจริงของโลกธุรกิจปัจจุบัน เอกสารฉบับนั้นอาจกลายเป็นเพียง “เอกสารประวัติศาสตร์” ทันทีที่หมึกพิมพ์แห้ง

ความก้าวหน้าของ AI ที่พลิกโฉมวงการ ความผันผวนของเศรษฐกิจโลก และพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน ได้ทำให้การวางแผนระยะยาวที่แข็งทื่อกลายเป็นกับดักที่อันตราย

วันนี้เราไม่ได้อยู่ในยุคที่ต้องมี “แผนที่” ที่ดีที่สุด แต่อยู่ในยุคที่ต้องมี “เข็มทิศ” ที่แม่นยำและพร้อมจะปรับเปลี่ยนเส้นทางได้ตลอดเวลา นี่คือยุคของ Adaptive Strategy

คลื่นสี่ลูกที่ซัด ‘แผนกลยุทธ์แบบดั้งเดิม’ ให้พังทลาย

การยึดติดกับโมเดลการวางแผนกลยุทธ์แบบเดิม ๆ ในวันนี้ เปรียบเสมือนการกางใบเรือสู้พายุโดยไม่ดูทิศทางลม มีพลังขับเคลื่อนอย่างน้อย 4 ประการที่กำลังทำให้แนวทางเก่าใช้ไม่ได้ผล

  1. ยุคแห่งการปฏิวัติโดย AI (AI-Driven Disruption): AI ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือเพิ่มประสิทธิภาพอีกต่อไป แต่มันคือผู้สร้างโมเดลธุรกิจใหม่และผู้ทำลายธุรกิจเก่าในเวลาเดียวกัน วัฏจักรการพัฒนาของ AI นั้นสั้นกว่ารอบการวางแผนกลยุทธ์ขององค์กรเสียอีก
  2. การล่มสลายของพรมแดนอุตสาหกรรม (The End of Stable Industries): ธนาคารไม่ได้แข่งกับธนาคารด้วยกันเท่านั้น แต่กำลังแข่งกับบริษัท FinTech และแอปพลิเคชันบนมือถือ การแข่งขันไม่ได้เกิดขึ้นภายในอุตสาหกรรม แต่เป็นการต่อสู้กันระหว่าง “ระบบนิเวศ” (Ecosystems) ที่ซับซ้อน
  3. หน้าต่างแห่งการตัดสินใจที่สั้นลง (Shrinking Decision Windows): ข้อมูลที่หลั่งไหลเข้ามาแบบเรียลไทม์มหาศาล ทำให้โอกาสในการใช้ประโยชน์จากข้อมูลนั้นมีอายุสั้นลงอย่างน่าใจหาย องค์กรที่รอการทบทวนแผนรายปีจะสูญเสียความสามารถในการแข่งขันไปโดยปริยาย
  4. ความยืดหยุ่น (Resilience) คือหัวใจ: วิกฤตการณ์ต่าง ๆ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาได้พิสูจน์แล้วว่า องค์กรที่อยู่รอดและเติบโตไม่ใช่องค์กรที่มีแผนดีที่สุด แต่คือองค์กรที่สามารถ “ล้มแล้วลุก” และ “ปรับตัว” ได้เร็วที่สุด

รู้จัก Adaptive Strategy: 4 เสาหลักของการสร้างองค์กรที่ ‘พร้อมรับมือ’ ทุกการเปลี่ยนแปลง

การเปลี่ยนผ่านสู่ Adaptive Strategy ไม่ใช่การยกเลิกการวางแผน แต่เป็นการเปลี่ยน “วิธีคิด” และ “กระบวนการ” ในการวางแผน ที่ Norm Thing ในฐานะที่ปรึกษาธุรกิจ เรามองว่าการสร้างองค์กรที่พร้อมปรับตัวต้องประกอบด้วย 4 เสาหลักสำคัญ

  1. เปลี่ยนจาก ‘คาดการณ์และวางแผน’ เป็น ‘ตรวจจับและตอบสนอง’ (Sense & Respond): แทนที่จะเสียเวลาไปกับการพยากรณ์อนาคตที่ไม่มีวันแม่นยำ 100% ให้หันมาลงทุนกับการสร้าง “ระบบเรดาร์” เพื่อตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของตลาด เทคโนโลยีและลูกค้าแบบเรียลไทม์ (ผ่าน Data Analytics, Social Listening, AI) และสร้างกลไกการตัดสินใจที่รวดเร็วเพื่อตอบสนองต่อสัญญาณเหล่านั้นได้ทันที
  2. เปลี่ยนจาก ‘เดิมพันครั้งใหญ่ครั้งเดียว’ เป็น ‘พอร์ตโฟลิโอของทางเลือก’ (Portfolio of Bets): มองกลยุทธ์เหมือนการจัดพอร์ตการลงทุนของ Venture Capital แทนที่จะทุ่มทรัพยากรทั้งหมดไปกับแผนแม่บทเดียว ให้กระจายการลงทุนในหลากหลายโครงการริเริ่ม ทั้งโครงการที่เป็นธุรกิจหลัก (Core), โครงการเพื่อการเติบโต (Growth) และโครงการสำรวจอนาคต (Exploratory) จากนั้นใช้ข้อมูลจริงเพื่อตัดสินใจยุติโครงการที่ไม่เวิร์คอย่างรวดเร็ว และทุ่มทรัพยากรเพิ่มให้กับโครงการที่มีแววรุ่ง
  3. เปลี่ยนจาก ‘สั่งการจากบนลงล่าง’ เป็น ‘ทีมย่อยที่ทรงพลัง’ (Empowered, Decentralized Teams): กระจายอำนาจการตัดสินใจไปยังทีมที่อยู่ใกล้ชิดกับลูกค้าและข้อมูลมากที่สุด กำหนด “เป้าหมาย” (What) ที่ชัดเจน แต่ให้อิสระแก่ทีมในการคิดค้น “วิธีการ” (How) ที่จะไปให้ถึงเป้าหมายนั้นด้วยตนเอง สิ่งนี้จะช่วยปลดล็อกความเร็วและนวัตกรรมจากคนทั้งองค์กร
  4. เปลี่ยนจาก ‘งบประมาณประจำปีที่ตายตัว’ เป็น ‘การจัดสรรทรัพยากรแบบไดนามิก’ (Dynamic Resource Allocation): ยกเลิกระบบงบประมาณประจำปีที่แข็งทื่อและอุ้ยอ้าย หันมาใช้กระบวนการทบทวนและจัดสรรทรัพยากรที่ยืดหยุ่นกว่า เช่น รายไตรมาส หรือแม้กระทั่งรายเดือน เพื่อให้สามารถโยกย้ายเงินทุนและกำลังคนไปยังส่วนที่สำคัญและสร้างผลตอบแทนได้ดีที่สุดในขณะนั้น

กรณีศึกษา: Microsoft จาก ‘ยักษ์หลับ’ สู่ ‘ผู้นำ AI’ ด้วยการละทิ้งแผนที่ฉบับเดิม

ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดของ Adaptive Strategy คือการพลิกฟื้นองค์กรของ Microsoft ภายใต้การนำของ Satya Nadella

ในอดีต Microsoft ยึดติดกับกลยุทธ์ที่แข็งทื่อซึ่งมี Windows เป็นศูนย์กลางจักรวาล ทำให้พวกเขาพลาดโอกาสสำคัญในโลกโมบายและเสิร์ชเอนจิ้น แต่เมื่อ Nadella เข้ามา เขาได้เปลี่ยนวัฒนธรรมและกลยุทธ์ทั้งหมด:

  • Sense & Respond: เขารู้ว่าโลกกำลังมุ่งสู่คลาวด์และโอเพนซอร์ส เขาจึงตัดสินใจนำ Microsoft Azure เข้าสู่ตลาดอย่างเต็มตัวและเปิดรับ Linux ซึ่งเป็นสิ่งที่คิดไม่ถึงในยุคก่อนหน้า
  • Portfolio of Bets: Microsoft ไม่ได้เดิมพันแค่ Windows อีกต่อไป แต่สร้างพอร์ตโฟลิโอที่แข็งแกร่ง ทั้งธุรกิจคลาวด์ (Azure), ซอฟต์แวร์แบบสมัครสมาชิก (Office 365), แพลตฟอร์มสื่อสาร (Teams), และที่สำคัญคือการลงทุนมหาศาลใน AI ผ่านการเป็นพันธมิตรกับ OpenAI
  • Empowered Teams: เขาสร้างวัฒนธรรม “Growth Mindset” และให้อิสระแก่แต่ละส่วนธุรกิจในการสร้างนวัตกรรมเพื่อตอบสนองลูกค้าของตนเอง

ผลลัพธ์คือ Microsoft ได้เปลี่ยนจาก “ยักษ์ใหญ่ที่กำลังจะตกยุค” กลายเป็น “ผู้นำด้านเทคโนโลยีและ AI” ที่มีมูลค่าสูงสุดในโลก นี่คือบทพิสูจน์ของการละทิ้งแผนที่เก่าและหันมาใช้เข็มทิศที่พร้อมปรับเปลี่ยนอยู่เสมอ

ความได้เปรียบทางการแข่งขันยุคใหม่: ไม่ใช่การมีคำตอบที่ดีที่สุด แต่คือการตั้งคำถามที่ใช่ได้เร็วที่สุด

ในโลกธุรกิจที่หมุนเร็วและคาดเดาไม่ได้ ความเสี่ยงที่อันตรายที่สุดไม่ใช่การวางแผนผิด แต่คือการยึดติดกับแผนที่ถูกในอดีตนานเกินไป ความได้เปรียบทางการแข่งขันไม่ได้เป็น “จุดหมายปลายทาง” ที่เมื่อไปถึงแล้วจะคงอยู่ตลอดไป แต่มันคือ “กระบวนการ” ของการเรียนรู้และปรับตัวที่ไม่สิ้นสุด

การสร้างองค์กรให้พร้อมปรับตัว (Adaptive Organization) คือภารกิจเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญที่สุดสำหรับผู้นำในทศวรรษนี้ และที่ Norm Thing เราพร้อมที่จะเป็นพันธมิตรนำทางองค์กรของคุณในการเดินทางที่ท้าทายและน่าตื่นเต้นนี้

แหล่งข้อมูลอ้างอิง